วันอังคารที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2556

คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย...สมองมนุษย์ชาย-หญิงไม่เหมือนกัน

สมองมนุษย์ชาย-หญิงไม่เหมือนกัน ต้นตอกระบวนการคิด-ความถนัด-พฤติกรรมต่าง บีบีซีรายงานว่า นักวิทยาศาสตร์สหรัฐค้นพบลักษณะความแตกต่างของโครงสร้างทางสมองระหว่างมนุษย์เพศชาย และเพศหญิง โดยคาดว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ชายและผู้หญิงมีความถนัดในชีวิตประจำวันที่แตกต่างกัน การค้นพบดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากคณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐ สแกนสมองของอาสาสมัครชายและหญิงกว่า 1 พันคน โดยพบว่า จุดเชื่อมต่อระบบประสาทระหว่างสมองส่วนหน้าและหลังในเพศชายนั้นมีปริมาณมากกว่าเพศหญิง ในขณะที่จุดเชื่อมต่อระบบประสาทระหว่างสมองซีกซ้ายและขวานั้นในเพศหญิงมีมากกว่าเพศชาย ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าการค้นพบดังกล่าวอาจเป็นสิ่งที่ช่วยอธิบายถึงความถนัดของเพศชายที่มีความสามารถในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้อย่างเชี่ยวชาญมากกว่าขณะที่เพศหญิงนั้นมีความสามารถที่รอบด้านกว่าและสามารถทำได้หลายๆ อย่างในเวลาเดียวกันเก่งกว่าเพศชาย อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายคนยังตั้งคำถามถึงลักษณะของจุดเชื่อมต่อระบบประสาทว่าส่งผลต่อพฤติกรรมข้างต้นมากน้อยแค่ไหนเนื่องจากลักษณะข้างต้นสามารถเปลี่ยนไปได้ในช่วงชีวิตของมนุษย์ ดร.รูเบ็นเกอร์หัวหน้าคณะนักวิจัยกล่าวว่าการค้นพบนี้จะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายและทำความเข้าใจความแตกต่างในกระบวนการคิดระหว่างผู้ชายและผู้หญิงรวมทั้งมีความเข้าใจต่อกลไกการเกิดอาการทางประสาทในหลายโรคที่มีความเกี่ยวโยงกันกับเพศด้วย(ที่มาประชาชาติธุรกิจออนไลน์)

วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เทคนิคการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ในโรงเรียน

เทคนิคการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ในสถานศึกษา ๑. ประชาธิปไตยในการเรียน สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่เป็นประชาธิปไตย มีความอิสระที่จะแสดงความคิดเห็น มีความเคารพในกันและกัน ครูรับฟังผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนเห็นว่าความรู้สึกของตนเป็นที่รับฟัง ไม่ใช่สิ่งที่ไม่มีความหมาย หรือไร้คนสนใจ ๒. เรียนรู้เรื่องอารมณ์ หน้าที่ของครูอาจารย์ในการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ คือ การช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจถึงความรู้สึก อารมณ์ของตน มีการแสดงออกที่เหมาะสมกับบุคคลและสถานที่ และมีความเอื้ออาทรต่อผู้อื่น ๓. เริ่มต้นให้ดี เริ่มที่ครู การเริ่มต้นที่ดีที่สุด คือการที่ครูอาจารย์ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีให้ผู้เรียน โดยการทำในสิ่งที่ตนเองพร่ำสอน เช่นเรียนรู้ที่จะทำความเข้าใจอารมณ์ ความรู้สึก บุคลิกลักษณะของตนเอง ระมัดระวังคำพูดและการแสดงอารมณ์ให้เหมาะสมอยู่เสมอ

วันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Emotional Quotient : EQ:ความฉลาดทางอารมณ์

. องค์ประกอบทางอารมณ์ ได้แก่ ความสามารถทางอารมณ์ (Emotional Intelligence Competencies) หรือ เชาว์อารมณ์ (Emotional Quotient : EQ) หมายถึง ความสามารถในการตระหนัก รู้ถึงความรู้สึกของตนเอง และของผู้อื่น เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับ ตนเอง บริหารจัดการอารมณ์ของตนเองและของผู้อื่น บุคลิกภาพเพื่อความสำเร็จนั้น จะประกอบด้วยองค์ประกอบ หรือ คุณลักษณะหลายประการ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยเอื้อต่อ การประสบความสำเร็จ แต่ในยุคแห่งการแข่งขันในปัจจุบันสุภกิจ โสทัต (2540) กลับเชื่อว่า ความรู้และ ความเฉลียวฉลาด ของบุคคลนั้น มีความสำคัญน้อยกว่า ความมุ่งหวังตั้งใจเด็ดเดี่ยว แน่นอนและมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การวางจุดมุ่งหมาย ที่แน่นอน ในชีวิต เพราะ "บุคคลที่ขาดจุดหมายก็คือคนที่ขาดหลักสำหรับยึดเหนี่ยว ยิ่งในยุดที่ "ใครแข็งใครอยู่" แล้ว คนที่อ่อนแอ จะถูกผลักให้ถอยไปข้างหลัง รวมทั้งคนที่ตั้งใจทำอะไรเพียง ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ก็จะไม่มีวันก้าวไปสู่ความสำเร็จได้เลย"

จำเป็นและความสำคัญในการรักษาสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี

สุขภาพกาย และสุขภาพจิตมีความสำคัญไฉน เมื่อกล่าวถึงสุขภาพ ย่อมหมายถึง สุขภาพกายและสุขภาพจิต รวมกัน ผู้ที่มีสุขภาพกายที่ดี คือ ผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ เจริญเติบโตสมกับวัย ไม่พิการ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ มีจิตใจเป็นปกติ อารมณ์มั่นคง สามารถปรับตัวเองให้อยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข สุขภาพจิตเป็นเสมือนเข็มทิศชีวิตที่จะทำให้คุณภาพชีวิตของเรา พัฒนาไปได้อย่างมีทิศทางมีหลักเกณฑ์ในการปรับตัวเองให้อยู่ใน สังคมได้อย่างมีความสุขและทำให้ผู้อื่นเป็นสุขด้วย "สุขภาพจิตที่ดีต้องเริ่มที่ตนเองโดยการฝึกความคิด ให้เป็นมิตรกับตนเอง" ความหมายของสุขภาพจิตและสุขภาพกาย องค์การอนามัยโลกให้ความหมายของคำว่า สุขภาพจิต คือ ความสามารถของบุคคลที่จะปรับตัวให้มีความสุข อยู่กับบุคคลอื่น และดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยความสมดุลอย่างสุขสบาย รวมทั้งสมอง ความสามารถของตนเองในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงนี้ ได้โดยไม่มีข้อขัดแย้งภายในจิตใจ ทั้งนี้คำว่า สุขภาพจิต มิได้หมายความ เฉพาะเพียง แต่ความปราศจากอาการของโรคประสาทและโรคจิตเท่านั้น จะเห็นได้ว่าสุขภาพจิตเกี่ยวข้องกับการฝึกคิดความรู้สึก และ การกระทำของบุคคล ในบางครั้งผู้ที่มีสุขภาพจิตปกติ อาจจะมีสุขภาพจิต ดีขึ้นหรือเลวลงก็ได้ คนที่มีสุขภาพจิตดี จะสามารถปรับตัวให้เข้ากับคนอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี แม้บางครั้งอาจขัดแย้ง หรือมีอารมณ์โกรธ หรือมีปัญหาชีวิตแต่ก็สามารถ ปรับอารมณ์และเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี โดยไม่เสีย ดุลทางจิตใจ จึงอาจกล่าวได้ว่า สุขภาพจิตก็คือความมั่นคงทางใจนั่นเอง เราสามารถสร้างเสริมสุขภาพกายและ สุขภาพจิตได้ สุขภาพจิต คือ สภาพชีวิตที่เป็นสุข มีอารมณ์มั่นคงสามารถปรับตัว ให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มีสมรรถภาพในการ ทำงาน และอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยความพอใจ สุขภาพกาย คือ สภาวะของร่างกายที่มีความสมบูรณแข็งแรงเจริญเติบโตอย่างปกติระบบต่างๆ ของร่างกายสามารถทํางานได้เป็นปกติและมีประสิทธิภาพรางกายมีความต้านทานโรคได้ดีปราศจากโรคภัยไขเจ็บและความทุพพลภาพ สรุป ทั้งสุขภาพจิตและสุขภาพกายเป็นสิ่งสำคัญและ จำเป็นสำหรับทุกชีวิตในการดำรงอยู่อย่างปกติ เป้าหมายของการเรียนรู้ สุขภาพจิต ก็คือ การทำให้ชีวิตมีความสุข ความพอใจ ความสมหวัง ทั้งของตนเองและของผู้อื่น ส่วนสุขภาพกายความแข็งแรงของร่างกายปราศจากโรคภัยเพราะความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริญ ความสำคัญของสุขภาพจิต สุขภาพจิต มีผลต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์หลายด้าน ดังนี้ 1. ด้านการศึกษา ผู้ที่สุขภาพจิตดีย่อมมีจิตใจปลอดโปร่ง สามารถศึกษาได้สำเร็จ 2. ด้านอาชีพการงาน ผู้ที่สุขภาพจิตดีย่อมมีกำลังใจต่อสู้อุปสรรค ไม่ท้อแท้ เบื่อหน่าย ทำงานก็บรรลุผลสำเร็จ 3. ด้านชีวิตครอบครัว คนในครอบครัวสุขภาพจิตดี ครอบครัวก็สงบสุข 4. ด้านเพื่อนร่วมงาน ผู้ที่สุขภาพจิตดีย่อมไม่เป็นที่รังเกียจ ปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ดี 5. ด้านสุขภาพร่างกาย ถ้าสุขภาพจิตดีร่างกายก็สดชื่น หน้าตายิ้มแย้ม สมองแจ่มใส เป็นที่สบายใจแก่ผู้พบเห็น อยากคบค้าสมาคมด้วย ความสัมพันธ์สุขภาพกายและสุขภาพจิต สุขภาพกายและสุขภาพจิตของคนย่อมมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น เด็กที่มีความบกพร่องทางกาย เช่น หูตึง หรือสายตาสั้น อาจได้รับความลำบาก ในการปรับตัว เด็กที่มีโรคประจำตัวบางอย่างมักมีอารมณ์หงุดหงิด ทำตัวให้เข้า กับเพื่อนฝูงได้ยาก เด็กประเภทนี้จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ มิฉะนั้นสุขภาพจิตของเด็กก็มีหวังเสื่อมทรามลงไปได้มาก ๆ คนที่ขาดสุขภาพจิตมักมีสุขภาพกายเสื่อมลงไปด้วย เด็กที่เสียสุขภาพจิต ถ้าเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาก็มักเจ็บป่วยมาก กล่าวคือ เด็กจะเสียกำลังใจและตีโพย ตีพายไปเกินกว่าเหตุ อาการเจ็บป่วยธรรมดาอาจเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น กำลังใจของคนไข้เป็นส่วนประกอบอันสำคัญในการที่จะรักษาโรคให้ได้ผล ถ้าคนไข้เป็นคนขาดสุขภาพจิตแล้วก็จะทำให้การรักษาโรคลำบากยิ่งขึ้น ร่างกายและจิตใจมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดถ้าร่างกาย เกิดผิดปกติก็จะทำให้จิตใจผิดปกติไปไม่มากก็น้อย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบุคคล และสิ่งแวดล้อมด้วย ในทางกลับกัน ถ้าสุขภาพจิตไม่ดีก็จะมีผลให้ สุขภาพกายเปลี่ยนแปลงไป อาจทำให้เกิดโรคทางกายได้ ผู้ที่มีอารมณ์หวั่นไหว วิตกกังวล หรือเครียด อาจจะมีอาการท้องเดิน เมื่อเกิดความกลัวก็อาจจะมีอาการปวดศีรษะ หรือเกิดอารมณ์ทางกายอื่น ๆ เมื่อเราตื่นเต้นตกใจก็จะทำให้การหายใจเร็วขึ้น ตัวสั่น เป็นต้น ดังนั้น การที่คนเราจะมีร่างกายที่สมบูรณ์ได้ก็ควรจะต้องมีอารมณ์อยู่ในภาวะ ที่สมบูรณ์ด้วย จากความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดของร่างกายและจิตใจนี้ จึงมีผู้กล่าวว่า จิตใจที่แจ่มใสย่อมอยู่ในร่างกายที่สมบูรณ์ ลักษณะของผู้ที่มีสุขภาพจิตดี ผู้ที่มีสุขภาพจิตดีมีลักษณะหลายประการ ดังนี้ 1. เป็นผู้ที่มีความสามารถและความเต็มใจที่จะรับผิดชอบอย่าง เหมาะสมกับระดับอายุ 2. เป็นผู้ที่มีความพอใจในความสำเร็จจากการได้เข้าร่วม กิจกรรมต่าง ๆ ของกลุ่ม โดยไม่คำนึงว่าการเข้าร่วมกิจกรรมนั้น จะมีการถกเถียงกันมาก่อนหรือไม่ก็ตาม 3. เป็นผู้เต็มใจที่จะทำงานและรับผิดชอบอย่างเหมาะสมกับบทบาท หรือตำแหน่งในชีวิตของเขา แม้ว่าจะทำไปเพื่อต้องการตำแหน่งก็ตาม 4. เมื่อเผชิญกับปัญหาที่จะต้องแก้ไข เขาก็ไม่หาทางหลบเลี่ยง 5. จะรู้สึกสนุกต่อการขจัดอุปสรรคที่ขัดขวางต่อความสุขหรือ พัฒนาการ หลังจากที่เขาค้นพบด้วยตนเองว่า อุปสรรคนั้นเป็นความจริง ไม่ใช่อุปสรรคในจินตนาการ 6. เป็นผู้ที่สามารถตัดสินใจด้วยความกังวลน้อยที่สุด มีความรู้สึกขัดแย้งในใจและหลบหลีกปัญหาน้อยที่สุด 7. เป็นผู้ที่สามารถอดได้ รอได้ จนกว่าจะพบสิ่งใหม่ หรือ ทางเลือกใหม่ที่มีความสำคัญหรือดีกว่า 8. เป็นผู้ที่ประสบผลสำเร็จด้วยความสามารถที่แท้จริง ไม่ใช่ความสามารถในความคิดฝัน 9. เป็นผู้ที่คิดก่อนทำ หรือมีโครงการแน่นอนก่อนที่จะปฏิบัติ ไม่มีโครงการที่ถ่วงหรือหลีกเลี่ยงการกระทำต่าง ๆ 10. เป็นผู้ที่เรียนรู้จากความล้มเหลวของตนเองแทนที่จะหา ข้อแก้ตัวด้วยการหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง หรือโยนความผิดให้แก่คนอื่น 11. เมื่อประสบผลสำเร็จ ก็ไม่ชอบคุยโอ้อวดจนเกินความเป็นจริง 12. เป็นผู้ที่ปฏิบัติตนได้สมบทบาท รู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไรเมื่อถึงเวลา ทำงาน หรือจะปฏิบัติอย่างไรเมื่อถึงเวลาเล่น 13. เป็นผู้ที่สามารถจะปฏิเสธต่อการเข้าร่วมกิจกรรมที่ใช้เวลา มากเกินไปหรือกิจกรรมที่สวนทางกับที่เขาสนใจแม้ว่ากิจกรรมนั้นจะทำให้ เขาพอใจได้ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งก็ตาม 14. เป็นผู้ที่สามารถตอบรับที่จะเข้าร่วมกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ สำหรับเขา แม้ว่ากิจกรรมนั้นจะไม่ทำให้เขาพึงพอใจก็ตาม 15. เป็นผู้ที่จะแสดงความโกรธออกมาโดยตรง เมื่อเขาได้รับ ความเสียหายหรือถูกรังแก และจะแสดงออกเพื่อป้องกันความถูกต้อง ของเขาด้วยเหตุด้วยผลการแสดงออกนี้จะมีความรุนแรงอย่างเหมาะสม กับปริมาณความเสียหายที่เขาได้รับ 16. เป็นผู้ที่สามารถแสดงความพอใจออกมาโดยตรงและจะแสดงออก อย่างเหมาะสมกับปริมาณและชนิดของสิ่งที่ก่อให้เกิดความพึงพอใจ 17. เป็นผู้ที่สามารถอดทน หรืออดกลั้นต่อความผิดหวัง และ ภาวะความคับข้องใจทางอารมณ์ได้ดี 18. เป็นผู้ที่มีลักษณะนิสัยและเจตคติที่ก่อรูปขึ้นอย่างเป็นระเบียบ เมื่อเผชิญกับสิ่งยุ่งยากต่าง ๆ ก็สามารถจะประนีประนอมนิสัยและเจตคติ เข้ากับสถานการณ์ที่ยุ่งยากต่าง ๆ ได้ 19. เป็นผู้ที่สามารถระดมพลังงานที่มีอยู่ในตัวออกมาใช้ได้อย่างทันที และพร้อมเพรียง และสามารถรวมพลังงานนั้นสู่เป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อความสำเร็จของเขา 20. เป็นผู้ที่ไม่พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงความจริงซึ่งชีวิตของเขา จะต้องดิ้นรนต่อสู้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่เขาจะยอมรับว่าบุคคลจะต้องต่อสู้ กับตนเอง ฉะนั้นเขาจะต้องมีความเข้มแข็งให้มากที่สุด และใช้วิจารณญาณ ที่ดีที่สุด เพื่อจะผละจากคลื่นอุปสรรคภายนอก ประโยชน์ของการมีสุขภาพจิตดี 1. ช่วยให้สามารถแก้ไขปรับปรุงการดำรงชีวิตให้อยู่ในสังคมได้อย่างราบรื่น เหมาะสม มีความสุข รู้จักจุดอ่อน จุดเด่นของตนเอง 2. ช่วยปรับปรุง แก้ไข และป้องกันความคับข้องใจ 3. ช่วยให้เกิดความเข้าใจตนเองและผู้อื่น รู้จิตใจ ความรู้สึก อารมณ์ของคนอื่นได้ 4. ช่วยให้สามารถพัฒนาอาชีพ การงาน และครอบครัว

เกี่ยวกับการพูดลักษณะของทูตสันติ

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการพูดลักษณะของทูตที่ดี 1. ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ไม่ด่วนปฏิเสธ 2. เมื่อถึงคราวพูด ก็สามารถทำให้ผู้อื่นฟัง 3. รู้จักกำหนดขอบเขตของการพูดให้กระทัดรัด 4. ทรงจำเนื้อความทั้งหมดที่จะพูดได้ 5. เข้าใจเนื้อความทั้งหมดโดยละเอียดตามความเป็นจริง 6. ทำให้ผู้อื่นเข้าใจตามได้ 7. ฉลาดในการพูดที่เป็นประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ 8. ไม่ก่อการทะเลาะวิวาท

ข้อแนะนำบางประการในการช่วยให้เลือกเสื้อผ้าที่เข้ารูปได้

มีข้อแนะนำบางประการในการช่วยให้เลือกเสื้อผ้าที่เข้ารูปได้ดังนี้ การเลือกเสื้อสูท และเสื้อสูทลำลอง คอเสื้อและปกเสื้อควรจะแบะแนบเรียบอยู่กับตัวเสื้อ ตอนลองเสื้อควรจะส่องดูในกระจกทั้งสามด้านและตรวจดูด้านหลังเสื้อ หากมีรอยย่นเป็นแนวอยู่ใต้ปกเสื้อแสดงว่าเสื้อหลวมเกินไป แต่ถ้าเห็นรอยตึงขวางอยู่บนแนวปีกไหล่ก็แสดงว่าเสื้อคับเกินไป ตรวจดูความกว้างของแขนเสื้อ คุณจะขยับแขนได้อย่างอิสระ โดยไม่รั้งเอาตัวเสื้อตามไปด้วย ตรวจดูที่ปลายแขนเสื้อด้วย ความยาวของแขนเสื้อสูทผู้ชายควรจะยาวพอให้เห็นปลายแขนเสื้อเชิ้ตโผล่ออกมา ¼ นิ้ว ½ นิ้ว สำหรับผู้หญิง แขนเสื้อควรจะยาวถึงข้อมือตรงบริเวณต่อกับนิ้วหัวแม่มือ ลองติดกระดุมเสื้อดู ถ้าเห็นรอยตึงเป็นรูปกากบาทตรงบริเวณกระดุม ก็แสดงว่าเสื้อตัวนั้นคับเกินไป ตรวจดูความยาวชายเสื้อ สำหรับผู้ชายทำได้ง่าย ๆ ด้วยการยืนตัวตรง และทิ้งแขนลงมาข้างลำตัวมือกำหลวม ๆ ปลายแขนเสื้อสูทควรจะอยู่ในอุ้งมือพอดี ส่วนความยาวของเสื้อสตรีนั้นจะขึ้นกับสมัยนิยมเป็นส่วนใหญ่ แต่ควรจะดูให้เหมาะสมด้วย เพราะเสื้อสูทที่สั้นหรือยาวเกินไปจะทำให้ส่วนสัดดูผิดเพี้ยนไป กางเกง เป้ากางเกงควรจะเรียบไม่มีรอยย่นเลย ขอบกางเกงควรฟิตกับเอวพอดี และไม่คับจนเกินไป ถ้าเอวหลวมจะทำให้ตัวกางเกงหย่อนยานโป่งพอง แต่ถ้าคับจนเกินไปจะรั้งตัวกางเกงขึ้นมาหมดทำให้สวมใส่ไม่สบายก้น และเป้ากางเกงไม่ควรจะตึงหรือหย่อนยานจนเกินไป ควรจะลองกางเกงพร้อมกับรองเท้าที่ใส่เป็นประจำ ชายขากางเกงที่ยาวพอดีนั้นควรจะจรดรองเท้าพอดี สำหรับกางเกงของผู้หญิงนั้น การเลือกก็ให้ใช้หลักเกณฑ์เดียวกันกับของผู้ชาย แต่ให้จำไว้เสมอว่ากางเกงไม่เหมาะที่ผู้หญิงจะใส่ไปทำงานในเกือบจะทุกโอกาส กระโปรง ความยาวของชายกระโปรงขึ้นลงได้ทุกปีตามสมัยนิยม แต่ถ้าจะเลือกการแต่งกายแบบอนุรักษ์นิยม ชายกระโปรงก็ควรจะยาวคลุมเข่าเล็กน้อย พอที่จะปิดเข่ามิดพอดีเวลานั่ง อย่าซื้อกระโปรงที่สั้นจนเกินไป ลองให้แน่ใจว่า ขอบกระโปรงฟิตกับเอวพอดี ขอบกระโปรงที่รัดแน่นเกินไปจะใส่ไม่สบาย และดูไม่สวย พยายามเลือกกระโปรงเผื่อตะเข็บข้างและชายกระโปรงไว้มากพอที่จะขยายไว้ภายหลัง เสื้อเชิ้ต เมื่อติดกระดุมคอแล้วปกเสื้อควรจะกระชับ แต่พยายามอย่าเลือกคอเสื้อที่คับจนเกินไป เพราะจะทำให้เกิดรอยย่น ตะเข็บขอบไหล่ควรจะอยู่ตรงบริเวณหัวไหล่พอดี และวงแขนควรจะกว้างพอที่จะเคลื่อนไหวได้สะดวก อย่าให้รอบอกและเอวคับจนเกินไป แต่ก็ไม่ควรเลือกเสื้อตัวใหญ่มากตนดูโคร่ง ผู้ชายควรจะเลือกเสื้อที่ลำตัวเรียวเล็กลง นอกจากว่า จะเป็นคนที่อ้วนมาก ๆ ข้อมือควรจะฟิตพอดี การแต่งกายให้เหมาะสมตามรูปร่างแต่ละแบบ คนเตี้ยรูปร่างเล็ก 1. ใส่เสื้อคอวี ถ้าเตี้ยมากไม่ควรสวมสร้อยคอ 2. แบบเสื้อเรียบที่สุดโดยเฉพาะบริเวณอกอย่าเสริมไหล่เสื้อที่แขนพองที่หัวไหล่ 3. เอวเรียบ ถ้าจำเป็นต้องใช้เข็มขัดให้ใช้เล้นเล็กมากๆ 4. เสื้อกระโปร่งชนิดปล่อยทิ้งแนบตัว 5. ใส่รองเท้าส้นสูงเสมอ 6. ชายกระโปร่งสั้นหน่อย 7. พยายามใช้ผ้าพื้น ถ้ามีลายหรือดอกให้ใช้ลายเล็กๆ คนสูง 1. คอเสื้อปกสูง ปกเสื้อกว้าง 2. เน้นส่วนเอวให้เด่นด้วยสีสด หรือเข็มขัดผ้าพันเอวใหญ่ 3. ใช้กระโปร่งแนบสะโพก มีเสื้อตัวยาวคลุมสโพกจะดูดี 4. ชายกระโปร่งต่ำกว่าเข่า คนอ้วน 1. อย่าใช้ปกเสื้อสูงใช้คอแหลม 2. ใช้สีแก่หรือคล้ำ ถ้ามีลายให้ใช้ลายเล็กแคบสีเดียวกันหมด 3. อก เอว แขน เรียบไม่สะดุดตา ใช้เข็มขัดเส้นเล็กหัวเข็มขัดหุ้มผ้าสีเดียวกับเสื้อผ้าเพื่อไม่ให้สะดุดตา 4. ใช้ชุดสองท่อนเสื้อปล่อยรอบเอวกระโปรงตรงอย่าใช้เสื้อตึงแนบตัว 5. ชายกระโปร่งต่ำกว่าเข่าเสมอ คนผอม 1. ใช้เสื้อคอสูงหรือแคบแนบคอ ถ้ามีปกใช้ปกกว้างมากๆ แขนสามส่วนดีกว่าแขนสั้น 2. อย่าใช้ชุดรัดตัว ผ้าลายขวางดีกว่าผ้าลายยาว 3. ใช้เสื้อจีบหรือพองส่วนนอก 4. บังส่วนเอวที่เล็กด้วยผ้าคาดเอวหรือเข็มขัดแถบใหญ่ 5. กระโปร่งจีบพองอย่าให้สั้นมากไป 6. ใช้เครื่องประกอบการแต่งกายค่อนข้างใหญ่ เช่น กระเป๋า รองเท้า เข็มขัด ต่างหู 7. ไม่จำเป็นต้องสวมรองเท้ามีส้นเสมอไป คนรูปหน้าเล็ก เสื้อเป็นแบบเรียบไม่มีปก ท่อนเสื้อซึ่งอยู่ใกล้กับหน้าที่สุดควรให้เรียบ ที่ว่าเรียบคือ ไม่มีปกที่ระบายจนดูตัวใหญ่ ไม่ให้มีสิ่งดึงดูดความสนใจในส่วนบน เพราะจะข่มหน้าให้ดูเล็กลงไปอีก ถ้าจะเล่นแบบควรเล่นแบบที่กระโปร่งยึดหลักว่าข้างบนเรียบแต่งด้านล่าง คนรูปหน้าใหญ่ เช่นมีกรามใหญ่หรือกระดูกหน้าใหญ่ หน้ากับตัวเป็นส่วนที่ใกล้ชิดกันมาก ถ้าหน้าใหญ่ นอกจากจะทำผมช่วยแล้วจะใช้เสื้อช่วยโดยการแต่งตัวเสื้อให้เต็มที่ เช่น คอตั้ง คอระบายหรือมีโบว์ได้เต็มที่ บางคนคิดผิดว่า ถ้าหน้าใหญ่ใส่เสื้อแต่งมกจะทำให้ดูใหญ่เข้าไปอีกซึ่งเป็นความคิดที่ผิด ไหลตั้ง ใส่เสื้อแขนล้ำได้สวยมาก สังเกตว่าไหล่ใหญ่กับไหลตั้งไม่เหมือนกัน ไหล่ตั้งมักจะผอม อก เล็ก ถ้าจะใส่เสื้อมีแขนต้องให้รอยต่อของแขนบริเวณหัวไหล่ล้ำเข้ามามากกว่าไหล่จริง หรือถ้าใส่เสื้อแบบมีแขนไม่ต่อไหลก็ให้ใช้สีเข้มและเทคนิคการตัดเข้าช่วย ใช้ผ้าหนา ไหล่ใหญ่และอกใหญ่ ใช้สีเข้มดีที่สุด ผ้านิ่มเนื้อจอร์เจีย ชีพอง เครฟหรือผ้าป่าน การตัด เย็บเทคนิคต่างๆ ช่วยได้มาก เช่นตะเข็บที่เรียบร้อย การวางผ้าตัดผ้า การวางลายใช้สีอ่อนสีแก่เข้ามาช่วยพรางรูปร่างได้มาก โดยยึดหลักที่ว่าส่วนที่ใหญ่ใช้สีเข้มส่วนที่เล็กใช้สีอ่อน เอวสั้น พลางได้โดยไม่ว่าจะใส่ชุดคนละท่อนหรือติดกันก็ตามจะต้องเป็นสีเดียวกัน อย่าเล่น สีตัดกันเป็นอันขาด สีตัดกันจะเน้นช่วงบนมาก แต่ถ้าจะใช้คนละสีก็ให้ใช้สีแนวเดียวกันโดยด้านบนสีอ่อนด้านล่างสีเข้ม ให้แนวเอวต่ำกว่าเอวจริง จะโดยการปล่อยตัวเสื้อลงมาหรือถ้าเป็นเครื่องแบบที่เอาเสื้อใส่ในกระโปรงก็ดึงเสื้อให้หย่อนลงมาหน่อย การใช้สีอ่อนเวลามองเสื้อดูกระจายออก ทำให้ดูช่วงบนใหญ่มากขึ้นกว่าที่เป้นจริงนิดหน่อย เอวบาง หลักการตรงกันข้ามกันคือ เสื้อเข้มกระโปรงอ่อน ถ้าเป็นชุดติดกันควรมีเข็มขัดคาด หรือผ้าคาด เอวใหญ่ ใช้สีเข้มตลอด อย่าเน้นเอวเป็นอันขาด ถ้าเอวใหญ่ไม่มากนักและตัวสูงพยายามทำ เสื้อกระโปรงให้พองนิดหน่อยจะดูเอวเล็ก แต่ถ้าเอวใหญ่และตัวเตี้ยไม่ควรทำวิธีเดียวคือเลือกเสื้อผ้าสีเข้ม ต้นขาใหญ่ อย่าใช้แบบที่ฟิตช่วงล่างถ้าจะใส่กางเกงให้แนบขาโดยใช้ผ้าหนาคุณภาพดี หน่อยจะช่วยได้มาก กางเกงยีนก็ใช้ได้ดี แต่ค่อนข้างลำลองเกินไป ถ้าเวลาเดินทางควรใช้ผ้าเนื้อกามาดิน ดีที่สุดส่วนงานกลางคืนถ้าจะใช้ให้ใช้ผ้าเครฟ ทั้งกระโปรงและกางเกงควรหลวมหรือ คลือๆ ตัว อย่าให้ตึงเกินไปหรือพอดีเกินไป กรโปรงพีทน้อยๆ กระโปรงย้วยแล้วเวลาเดินพีทแยกออกโดยไม่รู้ว่าพีทแยกออก เพราะต้นขาใหญ่หรือพีทก็ไม่ควรใส่ โคนขาโก่ง ใช้กระโปรงแคบไม่ได้เลยต้องใช้ผ้าหนาและความหลวมของกระโปรง หน้าท้องใหญ่ แก้ไขได้ยากที่สุดหลังจากพยายามลดจนเต็มที่แล้ว จะใช้เสื้อช่วยโดยตัวเสื้อหลวมที่ปล่อยลงมาให้พอดีกับหน้าท้องที่ยื่นออกมาหรือใช้เสื้อตัวปล่อยไปเลยอย่าเน้นเอว ถ้าต้องใส่เสื้อไว้ในกระโปรงกรณีที่เป็นเครื่องแบบที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ให้ใช้เสื้อตัวใหญ่หน่อยแล้วดึงมาให้เสมอหน้าท้อง ใส่กระโปรงบานทรงเอหรือกระโปรงย้วยเล็กน้อยตามความเหมาะสมแต่จะใส่กระโปรงแคบเลยจะดูไม่สวยนัก สะโพกใหญ่ ไม่มีสิทธิ์ใช้สีอ่อนเลย ให้ใช้สีเข้มและแบบเรียบอย่ามีรอยย่น กระโปรงย้วยจีบ รูดรอบตัวใช้ได้ ผ้านิ่มแนบไปกับสะโพก เสื้ออย่าให้เล็กมาก เพราะจะเน้นสะโพก สะโพกยื่น ใส่เสื้อคลุมสะโพกตัวยาวไม่ได้ต้องให้พอดีกับสะโพก เสื้อตัวหลวมไม่เน้นเอว ลักษณะที่คู่กับสะโพกยื่นคือ เอวแอ่นพยายามแก้ไขการทรงตัวที่ถูกต้องบังคับตนเองให้ได้ ไม่ควรใส่เสื้อผ้าเข้ารูป เลือกสไตล์และสีสันที่เหมาะสม อาจจะเลือกการตัดเย็บที่ประณีต เนื้อผ้าชั้นดี และเสื้อผ้ารับกับเรือนร่างได้เหมาะเจาะ ปัญหาข้อต่อมาก็คือ เมื่อสวมเสื้อผ้าชุดนั้นแล้ว รูปโฉมที่ปรากฏจะเป็นเช่นใด หากต้องการเลือกเสื้อผ้าที่จะขับเรือนร่างและหน้าตาให้โดดเด่นชวนมอง จำเป็นต้องคำนึงถึงสัดส่วนของเรือนร่างและสีผิวด้วย ลองติดตามดูความสำคัญของเส้นและสีสันที่จะเน้นจุดเด่นของคุณให้ปรากฏชัด เส้น เราสามารถใช้หลักการของเส้นลวงตาในการเลือกเสื้อผ้าที่จะช่วยให้ดูสูง หรือเตี้ยอวบอ้วนหรือเพรียว ตามความประสงค์ได้เส้นในแนวดิ่งจะช่วยยืดส่วนสูงและบีบร่างให้เพรียว คนตัวเตี้ยล่ำจึงควรเลือกเนื้อผ้าที่มีเส้นในแนวดิ่ง เสื้อสูทที่มีลายทางในแนวดิ่งจึงเหมาะกับคนตัวเตี้ย เส้นในแนวนอนจะตัดความสูงและขยายความกว้าง คนตัวผอมสูง ควรเลือกเสื้อผ้าที่มีเส้นลายในแนวนอน คอวีหรือชายเสื้อที่สอบเข้าหาเอว จะขับส่วนไหล่ให้กว้างและเน้นทรวดทรง เพราะเหตุนี้เองที่สตรีที่มีหน้าอกค่อนข้างใหญ่ จึงมักจะเลือกเสื้อคอวี เพื่อบีบส่วนเอวให้ดูคอดเล็กเรียวจะช่วยให้สมสัดส่วนไม่หนาเทอะทะไปหมด เสื้อผ้าชุดทำงานคอวีไม่ควรคว้านลึก นอกจากลายผ้าแล้ว ควรจะให้ความสำคัญกับเส้นสายบนเสื้อผ้าควบคู่ไปด้วย ตัวอย่างเช่น แผ่นรองซับในที่เสริมไหล่หนาเป็นพิเศษ จะช่วยให้ไหล่ของคุณดูกว้างขึ้น ตะเข็บแขนเสื้อในแนวทแยงจะทำให้ไหลดูแคบลง ในการเลือกชุดทำงาน ควรเลือกเส้นลายบนเสื้อผ้าที่จะช่วยขับลักษณะเด่นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ควรจะเลือกเสื้อผ้าแบบเรียบที่สุด เพื่อให้สมกับลักษณะของมืออาชีพ สีสัน สีสันนับได้ว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดอีกอย่างที่ต้องนำมาพิจารณาเสื้อผ้าชุดทำงาน หากคุณเลือกสีสันได้อย่างชาญฉลาด สอดคล้องกัน สีสันจะขับรูปลักษณ์ของคุณให้โดดเด่นชวนมอง นั่นก็หมายความว่า สีสันของเสื้อผ้าจะช่วยเน้นสีผิว และสีผิว หากสามารถที่จะเลือกใช้สีใด ๆ ก็ได้ขอให้ระลึกเสมอว่า คุณกำลังมองหาเสื้อผ้าที่จะใช้ในโลกธุรกิจ สีที่ถือว่าเป็นเครื่องแต่งกายคลาสสิคในวงการธุรกิจได้แก่ สีดำ เทา เบจ น้ำตาล น้ำเงิน และขาว ส่วนสีแดงเข้มบางกลุ่ม เช่น เบอร์กันดี และสนิมเหล็กก็ถือว่าเป็นสีคลาสสิคสำหรับสตรีนักธุรกิจ วิธีเลือกสีสันที่เหมาะกับตัวคุณมากที่สุด คือ ยกชิ้นผ้าขึ้นมาทาบกับใบหน้า เนื้อผ้าชิ้นนั้นขับสีเส้นผมของคุณให้ดูสดใสขึ้นหรือไม่? หน้าตาสดใสขึ้น หรือถูกสีนั้นข่มให้หมอง? เสื้อผ้าและเส้นลวงตา สีสันมีคำศัพท์เฉพาะในการเรียน สี หมายถึงชื่อเรียก เช่น แดง เหลือง น้ำเงิน ความเข้ม หมายถึง ความจางหรือเข้ม หากคุณเติมสีขาวเข้ากับแม่สีจะได้ สีจางหรืออ่อนลง แต่เมื่อเติมสีดำเข้าไปจะได้สีเข้ม ส่วน intensity หรือ chromo หมายถึง ความสว่าง หากเป็นสีผสม ความสว่างจะลดลง สีสันอาจจะแยกเป็นสีร้อน เช่น สีเหลือง เหลืองส้ม ส้ม แดงเพลิง และแดง ส่วนสีเย็น ได้แก่ สีม่วง ม่วงคราม น้ำเงิน เขียวน้ำเงิน และเขียว สีสันสามารถนำมาปรับใช้ร่วมกันได้ในการเลือกเสื้อผ้าชุดทำงานได้หลายทาง 1. เสื้อผ้าในกลุ่มทีเดียว โดยยืดกลุ่มสีใดสีหนึ่งเป็นหลักและมีสีจางหรือเข้มเป็นส่วนประกอบ เช่น ชุดสูทสีน้ำเงินเข้ม เชิ้ตหรือเบลาส์สีฟ้าอ่อน เนคไทหรือผ้าพันคอมีเส้นลายสีน้ำเงินระดับต่าง ๆ กัน การแต่งกายด้วยสีกลุ่มเดียวนี้ จะเน้นที่ความเข้มจาง หากใช้สีระดับเดียวกันทั้งตัวจะจืดชืดไม่ชวนมอง 2. สีตัดกัน หมายถึง สีที่อยู่ตรงข้ามกันในวงสี เช่น สีน้ำเงินตรงข้ามกับสีส้ม สีตัดกันจะเพิ่มความเข้มให้ซึ่งกันและกัน ขอให้ใช้สีคลาสสิคในวงธุรกิจเป็นหลัก โดยมีสีตัดกันเป็นส่วนเน้น 3. สีใกล้เคียงกัน หมายถึง สีที่อยู่ถัดกันในวงสีการผสมสีที่ชวนมองที่สุดจะเป็นสีที่อยู่ระหว่างกลางของแม่สี เช่น สีน้ำเงินจะไปได้ดีกับสีเขียว 4. สีตัดกันสามสี หมายถึง สีสามสีที่อยู่ตรงข้ามกันในวงสี เช่น สีเหลือง แดง และน้ำเงินซึ่งเป็นแม่สี ในการแต่งกายโดยใช้สีตัดกันสามสี จะยืดสีหนึ่งเป็นหลัก และให้อีกสองสีเป็นจุดเน้น เช่น สูทเป็นสีน้ำเงินเข้ม เสื้อเชิ้ตขาว เนคไทที่มีเส้นลายสีน้ำเงิน เหลือง แดง จะไปด้วยกันได้ดีในการเลือกเสื้อผ้า ขอให้ยึดสีคลาสสิคเป็นหลัก การหาส่วนประกอบเพิ่มเติมได้ในภายหลัง เช่น เสื้อเชิ้ตหรือเทคไท จะทำได้โดยง่ายและไม่สิ้นเปลืองงบประมาณ ข้อแนะนำในการเลือกเสื้อผ้าสีคลาสสิค มีดังนี้ 1. สีเข้ม ขรึม บ่งถึงพลังอำนาจและระดับชั้นมากกว่าสีอ่อน สดใส หากต้องการเสนอภาพพจน์ของผู้นำทางธุรกิจ ยึดสีเข้มเป็นหลัก 2. เลือกสีผสมแทนแม่สี แม้ว่าเครื่องแต่งกายสีสดใสฉูดฉาดจะดึงดูดสายตาได้ดีกว่าชุดสีเข้มแต่สีสดใสเหล่านั้นก็ไม่เหมาะที่จะนำมาเป็นเสื้อผ้าของผู้นำ 3. เสื้อผ้าชุดทำงาน ผู้ชายควรเลือกเชิ้ตสีขาว ฟ้าอ่อน น้ำตาลอ่อน หรือลายทางสีอ่อน หากเกิดความลังเลว่าควรจะใช้สีใด ให้ยึดสีขาวไว้เป็นหลัก สีขาวเข้าได้กับทุกสี เสื้อเชิ้ตจะต้องสีอ่อนกว่าสูทถ้าเป็นหญิง เสื้อเบลาส์จะสีอ่อนหรือแก่กว่าสูทก็ได้ กฎเกณฑ์ของการใช้เส้นและสีสัน 1. สายตาจะกวาดมองตามเส้นสาย 2. สีอ่อนที่สุดในชุดเสื้อผ้าจะดึงดูดสายตาได้มากที่สุด 3. สีอ่อนจะโดดเด่นออกมา ภายนอกและขับวัตถุให้ขยายใหญ่ขึ้น ส่วนสีเข้มจะกระถดกลับเข้าข้างใน ทำให้วัตถุดูเล็กลง อุปกรณ์ประกอบเสื้อผ้า เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายจะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ หากไม่มีเครื่องประกอบ ประดับตกแต่งเป็นขั้นสุดท้ายก่อนออกจากบ้าน เครื่องประกอบ เช่น ผ้าพันคอ จะช่วยให้ชุดทำงานของคุณโดดเด่นขึ้นมาผิดตา เกร็ดความรู้ต่อไปนี้ คงพอจะช่วยในการคัดเลือกเครื่องประกอบของเครื่องแต่งกาย รองเท้า รองเท้าจะต้องสวมสบาย เพราะไหน ๆ คุณก็จะต้องสวมใส่ติดเท้าทั้งวัน เวลายามบ่ายเหมาะสมที่สุดในการเลือกหาซื้อรองเท้า เพราะเป็นช่วงที่เท้าบวมขยายใหญ่ รองเท้าที่จะใส่ไปทำงาน ควรมีอย่างน้อยสองคู่เพื่อใส่สับเปลี่ยนกัน จะช่วยยืดอายุรองเท้าให้ทนทาน อย่าเลือกรองเท้าล้ำยุคตามสมัยนิยม รองเท้าในโลกธุรกิจควรจะเป็นแบบเรียบ ๆ ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม รองเท้าสตรีควรเป็นแบบส้นเตี้ย รองเท้าหนังจะทนทานและสวมสบายมากกว่าวัสดุชนิดอื่น สีของรองเท้าจะต้องรับกับสีของเครื่องแต่งกาย รองเท้าชายควรเป็นสีดำ สีน้ำตาล หรือสีหนังอ่อน ผู้หญิงสามารถเลือกสีรองเท้าได้กว้างยิ่งกว่า ไม่ว่าจะเป็นสีน้ำเงิน สีเบจ หรือสีน้ำตาลไหม้ รองเท้าจะต้องขัดจนเป็นเงาวับ ส้นจะต้องไม่สึกหรือเผยอ รองเท้าขมุกขมัวหรือส้นบิ่นจะแสดงถึงความไม่ใส่ใจ ในขณะที่เครื่องแต่งกายส่วนอื่นใหม่เอี่ยม ถุงน่องถุงเท้า ถุงเท้าผู้ชายจะต้องเป็นสีเข้ม และสูงถึงกลางน่อง ถุงน่องและกางเกงถุงน่องสำหรับสตรีมีให้เลือกตั้งแต่โปร่งใสเรื่อยไปจนถึงสีทึบในชุดแต่งกายอนุรักษ์นิยมควรเลือกสีอ่อนที่เข้ากับ สีผิวเนื้อหากทางบริษัทไม่จำกัดสีของถุงน่อง ควรจะใช้สีดำ น้ำตาลเข้ม สีถ่าน หรือสีน้ำเงิน เก็บถุงน่องแฟนซีสีสันประหลาดไว้ในนอกเวลางาน ในปัจจุบัน ราคาถุงน่องถูกลงมากแล้ว อย่าปล่อยให้มีรอยฉีกขาดหลุดลุ่ยปรากฏ ซื้อถุงน่องอีกคู่เก็บสำรองไว้ในลิ้นชักเผื่อเวลาฉุกเฉิน สตรีนักธุรกิจควรจะสวมถุงน่องตลอดทั้งปี เพราะสำนักงานส่วนใหญ่จะติดเครื่องปรับอากาศ คุณไม่จำเป็นต้องถอดถุงน่องเพื่อให้เย็นขึ้น เข็มขัด เข็มขัดสำหรับผู้ชายควรจะทำด้วยหนัง สีของเข็มขัดจะต้องเข้ากับสีของรองเท้า ซึ่งก็หมายถึงว่าต้องกลมกลืนไปกับสีของเครื่องแต่งกาย ผู้หญิงอาจจะถือว่าเข็มขัดเป็นเครื่องประดับตามสมัยนิยมอย่างหนึ่ง ถ้าเข็มขัดเข้ากับชุดแต่งกายเข็มขัดสตรีจะต้องทำด้วยหนังหรือเนื้อผ้าเดียวกับชุด หากคุณเป็นคนเอวสั้น ควรจะเลือกเข็มขัดหนังเส้นเล็กหรือเข็มขัดผ้าเนื้อเดียวกับชุด หากคุณเป็นคนเอวยาวก็พอจะใช้เข็มขัดเส้นโตได้ แต่อย่าปล่อยให้เข็มขัดข่มเครื่องแต่งกาย เนคไทและผ้าพันคอ เนคไทเป็นองค์ประกอบสุดท้ายของเครื่องแต่งกายชายที่ครบถ้วนสมบูรณ์ส่วนผ้าพันคอจะเพิ่มความชวนมองให้ชุดสวยของคุณผู้หญิงได้ ในชุดอนุรักษ์นิยม ควรจะเลือกเนคไทเส้นเล็ก สีเข้ม มีลวดลายเพียงเล็กน้อย ลวดลายและสีสันของเนคไทจะต้องเข้ากันกับเสื้อเชิ้ตและสูท อย่าปล่อยให้มีลวดลายสองแห่งบนเสื้อผ้า หากเสื้อเชิ้ตเป็นสีขาว สูทไม่มีลวดลาย คุณสามารถเลือกใช้เนคไทมีลายขีดขวางหรือมีลวดลายได้ หากเสื้อเชิ้ตหรือสูทมีลายทางยาว ควรเลือกใช้เนคไทสีเรียบ ไม่มีลวดลาย กระเป๋าเอกสารและกระเป๋าถือ พอจะกล่าวได้ว่าไม่มีอะไรแสดง "ความสำเร็จ" ให้เด่นชัดได้เท่ากับกระเป๋าเอกสารทำด้วยหนังมันขลับ กระเป๋าเอกสารหนังแสดงศักดิ์ศรีทั้ง ๆ ที่มีหน้าที่เพียงเป็นที่เก็บเอกสารกระเป๋าเอกสารมีหลายลักษณะ ตั้งทรงเหลี่ยม มีหูหิ้วเรื่อยไปจนถึงกระเป๋าหนีบมีฝาปิด หรือมีซิปรูดปิด สตรีอาจจะเก็บกระเป๋าเล็ก ๆ ไว้ในกระเป๋าเอกสาร เพื่อหลีกเลี่ยงการถือกระเป๋าอีกใบ หากต้องการลงทุนซื้อกระเป๋าถือสักใบ ขอให้เลือกกระเป๋าหนังที่มีคุณภาพดีสักใบ อาจจะเป็นสีดำ สีแดงเข็ม น้ำตาลแก่ หรือสีหนังธรรมชาติ สีของกระเป๋าถืออาจจะเลือกให้เข้ากับสีรองเท้า แต่ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันในทุกกรณี อัญมณีเป็นเครื่องตกแต่งที่จะช่วยแต้มสีสันแพรวพรายให้เครื่องแต่งกาย แต่กฎพื้นฐานสำหรับบุรุษ คือ ใช้อัญมณีให้น้อยที่สุด เช่น นาฬิกา กระดุมข้อมือ แหวนแต่งงาน นาฬิกานักธุรกิจมืออาชีพจะเป็นเรือนบาง สีเงินหรือทอง เรียบ ๆ ใช้สายหนังหรือสายโลหะ กระดุมข้อมือควรจะเรียบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สตรีสามารถเลือกอัญมณีประดับเครื่องแต่งกายได้มากกว่า แต่กฎพื้นฐานก็ยังนำมาปรับใช้ด้วย วัตถุประสงค์ของการประดับอัญมณีคือ เน้นจุดเด่นให้เครื่องแต่งกาย มิใช่ข่มเครื่องแต่งกายต่างหูไม่ควรมีขนาดใหญ่เกินเหรียญบาท นาฬิกาควรเป็นแบบคลาสสิค ไม่ควรสวมแหวนเต็มครบทุกนิ้ว เพียงหนึ่งหรือสองวงก็เพียงพอแล้ว คุณอาจต้องการสวมสายสร้อยหรือเข็มกลัดเพื่อเน้นเครื่องแต่งกาย แต่ก็ขอให้ยืดแบบคลาสสิค ซึ่งหมายถึงทอง เงินหรือไข่มุก สร้อยข้อมือตุ้งติ้งหรือกำไลข้อมือเต็มแขนไม่เหมาะสำหรับสตรีนักธุรกิจ เก็บเครื่องประดับนานาชนิดไว้สำหรับการชุมนุมสังสรรค์นอกเวลางาน ข้อแนะนำในการแต่งกายของท่าน 1. แต่งตัวให้สมกับบทบาทในตำแหน่งสายงาน แต่งตัวเพื่องานที่ทำ 2. อย่าแต่งตัวให้ทันสมัยเกินไป ซื้อเครื่องแต่งกายวันนี้ เพื่อแนวโน้มแฟชั่นในอนาคต 3. เลือกเสื้อผ้าที่มีคุณภาพดี จะใช้ได้ร่วมสมัย เลือกอัญมณีและเครื่องแต่งตัวที่ไม่ล้าสมัย 4. ส่องกระจกดูภาพลักษณ์ของตนเอง ทำอย่างน้อยวันละ 3 ครั้ง เริ่มงาน ตอนกลางวันและก่อนเลิกงาน 5. การเลือกสี เสื้อผ้า กางเกง รองเท้าต้องเข้ากันได้ ขอคำแนะนำจากช่างตัดเสื้อผ้ามืออาชีพ 6. ดูผู้อื่นเขาแต่งตัว 7. ซักเสื้อผ้าให้สะอาด ขัดรองเท้าให้เป็นเงา เป็นเรื่องที่น่าประหลาดที่คนส่วนมากตัดสินผู้อื่นด้วยรูปแบบการแต่งกาย และการขัดรองเท้าเป็นเงา 8. ซื้อหนังสือแนะนำการแต่งกาย และแฟชั่นมาดูบ้าง เช่น Successful style ของ Dorix Poosen หรือ Professional Development 9. รักษาอนามัยส่วนตัว ท่านต้องสะอาดทั้งตัว ดูสะอาดตา กลิ่นสะอาด เรียกว่าสวยทั้งตัว 10. สนใจ คำวิจารณ์ในเรื่องการแต่งกายของเรา ดูวัตถุประสงค์การให้ข้อมูลย้อนกลับจากเพื่อนที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ 11. ถ้านายหรือลูกค้านั่งรถของเรา ต้องแน่ใจว่ารถต้องสะอาด

Carl Jung นักจิตวิทยาชาวสวิสได้พัฒนาทฤษฎีจิตวิทยาแบบวิเคราะห์(บุคลิกภาพ)

คาร์ลจุง (Carl Jung) นักจิตวิทยาชาวสวิสได้ศึกษาและพัฒนาทฤษฎีจิตวิทยาแบบวิเคราะห์ เชื่อว่า จิตใต้สำนึกจะทำหน้าที่บันทึกความทรงจำ แรงกระตุ้นทั้งหลายเอาไว้และทำหน้าที่ถ่ายทอดสิ่งที่จิตใต้สำนึกเก็บสะสมไว้ เช่น เรื่องราวในอดีตที่น่าตื่นเต้นของมนุษย์ แบ่งบุคลิกภาพของมนุษย์ เป็น 3 ประเภท 1. ประเภทเก็บตัว (Introvert) คือบุคคลที่ไม่ชอบสังคม เมื่อมีปัญหาใด ๆ จะแยกตัวออกจากสังคมยึดมั่นในความรู้สึกของตนเอง เป็นคนไม่ชอบพูด ขี้อาย มีอารมณ์ที่รุ่นแรง 2. ประเภทแสดงตัว (Extrovert) คือ กลุ่มบุคคลที่ชอบเข้า สังคม ชอบพบปะพูดคุยกับผู้อื่น เป็นคนเปิดเผย ปรับตัวเองได้ค่อนข้างดี ร่าเริงแจ่มใส่ มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือสังคม 3. ประเภทแบบกลาง (Ambivert) คือ บุคคลที่พูดพอควร เดินสายกลาง มีชิวิตที่เรียบง่าย อยู่คนเดียวก็มีความสุข คบหากับคนทั่วไปได้ดี

ทฤษฎีมนุษยนิยมของคาร์ โรเจอร์ส

ทฤษฎีมนุษยนิยมของคาร์ โรเจอร์ส ประวัติของผู้กำเนิดทฤษฎี คาร์ โรเจอร์ส เกิดเมื่อวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1902 เป็นบุตรชายคนที่ 4 มีพี่น้อง 6 คน เกิดที่เมืองโอ็กปาร์ค (Ork Park) รัฐอิลินอยส์ (Illinois) ประเทศสหรัฐอเมริกา เขามาจากครอบครัวที่อบอุ่น มี ความรักใคร่ และใกล้ชิดกันระหว่างพ่อแม่พี่น้อง บิดามารดาของเขาเป็นผู้ที่มี ความสนใจทางการศึกษามาก และเป็นคนที่เคร่งครัดทางศาสนา จึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาของลูกๆ อย่างเต็มที่ พร้อมๆ กับการอบรมให้ลูกๆ ฝักใฝ่ในศาสนาด้วย และเนื่องจากบิดามารดา มี ความระมัดระวังไม่ให้ลูกๆ พบเห็น หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่พึงปรารถนา จึงได้ย้ายครอบครัวไปอยู่ที่ฟาร์ม ทางทิศตะวันตกของชิคาโก ทำให้โรเจอร์ส ได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นในชนบท ที่ถือว่าเป็นช่วงชีวิตที่เต็มไปด้วย ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย จากครอบครัว เขาชอบอ่านหนังสือมากและอ่านหนังสือทุกประเภท และมีผลการเรียนดีเด่นเสมอมา คาร์ โรเจอร์ส สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี ในสาขาประวัติศาสตร์ และปริญญาโทในสาขาศาสนาและจิตวิทยา และปริญญาเอกในสาขา ทางด้านจิตวิทยา ที่มหาวิทยาลัย โคลัมเบีย (Columbis University) ในปี ค.ศ. 1931 ในระหว่างเรียน เขาได้มีโอกาสได้ฝึกงานด้านคลีนิกเกี่ยวกับเด็ก ที่ใช้วิธีการบำบัดของจิตวิเคราะห์ และเมื่อเขาได้มีโอกาสทำจิตบำบัดครั้งแรก ก็พบว่า มี ความขัดแย้งกันระหว่างการบำบัดแบบจิตวิเคราะห์กับ วิธีการศึกษาตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ที่เขาได้ศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เมื่อสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาเอกแล้ว ได้ทำงานเป็นนักจิตวิทยา ณ สถาบันการศึกษาเด็ก เพื่อป้องกันการทารุณกรรมแก่เด็ก ซึ่งเขาได้นำหลักการทางจิตวิทยา ไปใช้ในการช่วยเหลือเด็ก ที่มีปัญหาอย่างจริงจัง และประสบผลสำเร็จอย่างดี ตลอดมา เช่น เด็กเหลือขอ อาชญากรวัยรุ่น เด็กที่ด้อยโอกาส ฯลฯ ในระหว่างปี ค.ศ. 1940 –1945 โรเจอร์ส ได้รับตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์ทางด้านจิตวิทยา และสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยโอไฮโอ (Ohio State University)และในระหว่างปี ค.ศ.1945 – 1957 ได้ย้ายไปสอน ณ มหาวิทยาลัยชิคาโก (University of Chicago) และในช่วงเวลาดังกล่าว โรเจอร์ได้ผลิตผลงานต่างๆ อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีการให้คำปรึกษาเน้นบุคคลเป็นศูนย์กลาง (Person-Centered Counseling) ในระหว่างปี ค.ศ. 1957 – 1963 ได้ย้ายไปสอน ณ มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน (University of Wisconsin) จากนั้น ได้ย้ายไปทำงานที่ศูนย์การศึกษาระดับสูงทางด้านทางพฤติกรรมศาสตร์ ที่แสตนฟอร์ด (Standford) และในปี ค.ศ. 1963 ได้ย้ายไป ทำงานศูนย์การศึกษาเกี่ยวกับบุคคล (Center for Studies of the Person) ที่แคลิฟอร์เนีย ซึ่งเขาได้นำหลักการทางจิตวิทยา มาใช้เพื่อพัฒนาบุคคล ในวงการต่าง เช่น แพทย์การศึกษา อุตสาหกรรม รวมทั้งประชาชนโดยทั่วไป ให้เกิดการพัฒนาบุคลิกภาพที่สมบูรณ์ เขาได้ใช้ชีวิตที่นั่นจนเสียชีวิตเมื่อ ปี ค.ศ. 1986 โรเจอร์ส มีผลงานต่างๆ และได้รับรางวัลทางวิจาการต่างๆ มากมาย ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาได้รับตำแหน่งที่สำคัญๆ ในทางจิตวิทยา อย่างมากมายเช่นเดียวกัน เช่น ประธานสมาคมจิตวิทยาแห่งอเมริกา (American Psychological Association) นอกจากนี้ เขายังได้เขียนบทความ และหนังสือเกี่ยวกับการแนะแนว และจิตบำบัด และบุคลิกภาพไว้มากมายหลาย โรเจอร์สได้ชื่อว่า เป็นนักจิตวิทยามานุษยนิยมที่สำคัญ และเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายอีกท่านหนึ่ง เขาได้รับการยอมรับว่า เป็นผู้ที่ยกระดับวิชาชีพจิตวิทยาให้ได้รับการยอมรับและเชื่อถือจากมหาชน โดยพิสูจน์ให้เห็นประจักษ์ว่า นักจิตวิทยาที่รู้จริง ปฏิบัติจริง ย่อมเป็นผู้ที่มี ความสุข และ ความสำเร็จในชีวิต ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่จะช่วยเหลือผู้ที่มี ความทุกข์ร้อนทางด้านจิตใจ และมีปัญหาทางบุคลิกภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ที่ได้เคยรู้จักกับโรเจอร์ส ต่างก็ยกย่องว่า โรเจอร์สว่า เขาเป็นผู้ที่มีจิตใจเต็มเปี่ยมไปด้วย ความรัก ความเมตตา ต่อเพื่อนมนุษย์ทุกคนอย่างบริสุทธิ์ใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับบุคคลที่ตกอยู่ในห้วงแห่ง ความทุกข์โศก ความสับสนและ ความเดือดเนื้อร้อนใจ ไม่ว่าเด็กและผู้ใหญ่ แม้เพียงได้อยู่ใกล้ๆ ก็ทำให้เขาเหล่านั้น มี ความสบายใจและอบอุ่นใจได้เสมอ ทั้งนี้ เพราะเห็นพลัง ความรักและ ความปรารถนาที่มีต่อเพื่อนมนุษย์และ ความเชื่อของเขาที่มีอยู่ในจิตสำนึกว่า ความทุกข์ของมนุษย์ย่อมมีหนทางแก้ไขได้เสมอ แนวคิดที่สำคัญ โรเจอร์สเชื่อว่า มนุษย์มีธรรมชาติที่ดีมีแรงจูงใจในด้านบวก เป็นผู้ที่มีเหตุผล (Rational) เป็นผู้ที่สามารถได้รับการขัดเกลา (Socialized) สามารถตัดสินใจเลือกวิถีชีวิตของตนเองได้ ถ้ามีอิสระเพียงพอ และมีบรรยากาศที่เอื้ออำนวย ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาตนเองอย่างเต็มศักยภาพ (Full Potential) และพัฒนาไปสู่ทิศทางที่เหมาะสมกับ ความสามารถของแต่ละบุคคล อันจะนำไปสู่การตระหนักรู้ในตนเองอย่างแท้จริง (Self-Actualization) โครงสร้างทางบุคลิกภาพ ของโรเจอร์สประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วนคือ 1. อินทรีย์ (The organism) หมายถึง ทั้งหมดที่เป็นตัวบุคคล รวมถึงส่วนทางร่างกาย หรือทางสรีระของบุคคล (Physical Being) ที่ประกอบด้วย ความคิด ความรู้สึกที่แสดงปฏิกิริยาตอบต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นการแสดงพฤติกรรมทั้งหมดของบุคคล โดยแสดงพฤติกรรมเพื่อตอบสนอง ความต้องการ (Needs) ที่เกิดขึ้นภายในตัวบุคคล และทำให้มนุษย์ มีแรงจูงใจที่จะพัฒนาตนเองไปสู่การรู้จักตนเองอย่างแท้จริง (Self-Actualization) นอกจากนี้ มนุษย์จะแสดงพฤติกรรมโดยการนำเอาประสบการณ์เดิมบางอย่างที่เขาให้ ความหมาย หรือให้ ความสำคัญต่อกับประสบการณ์เดิมบางอย่าง ที่เกิดจากการเรียนรู้ และนำเอาประสบการณ์เหล่านี้มาเป็นสัญลักษณ์ในจิตสำนึกของเขา (Symbolized in the Consciousness) โดยปฏิเสธประสบการณ์บางอย่างดังนั้นผู้ที่มี ความสามารถรับรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้ ความหมายของประสบการณ์ที่ถูกต้องกับ ความเป็นจริงมากที่สุด จะเป็นผู้ที่สามารถพัฒนาได้ตามปกติ (Normal Development) 2. ประสบการณ์ทั้งหมดของบุคคล (Phenomenology Field) ที่เป็นสิ่งที่บุคคลจะรู้เฉพาะตนเท่านั้น และประสบการณ์ของบุคคลนี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มพูนอยู่ตลอดเวลา โรเจอร์สอธิบายว่ามนุษย์อยู่ในโลกของการเปลี่ยนแปลง ที่มีตนเองเป็นศูนย์กลางเป็นประสบการณ์ที่อาจเกิดจากสิ่งเร้าภายนอกและสิ่งเร้าภายในตัวบุคคล สามารถแบ่งออกเป็นประสบการณ์ทั้งส่วนที่เกี่ยวข้องกับจิตสำนึก และจิตใต้สำนึกของบุคคล ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา ทั้งเป็นสิ่งที่สื่อสารได้ และทั้งที่สื่อสารไม่ได้ ซึ่งเป็นพลังกระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรมต่างๆ เช่น เด็กร้องไห้เมื่อเห็นสุนัขอาจเกิดจาก เคยถูกสุนัขกัด หรืออาจเคยถูกข่มขู่ให้กลัวสุนัขจนฝังใจหรือประสบการณ์ที่อยู่ในจิตใต้สำนึกบางอย่าง บุคคลไม่สามารถสื่อสารออกมาได้ เพราะอาจถูกเก็บไว้และซ่อนอยู่ภายในจิตใจจนเจ้าตัวไม่สามารถเข้าใจได้ เป็นลักษณะของเงื่อนปมที่ฝังอยู่ภายในจิตใจ โดยทั่วไปแล้วบุคคลจะให้ ความหมาย และเลือกรับรู้เฉพาะประสบการณ์ที่สำคัญ โรเจอร์ส ให้ ความสำคัญต่อ ความสามารถในการสื่อสารประสบการณ์เฉพาะตนให้กับผู้อื่นสามารถรับรู้ และเข้าใจได้ จะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะนำไปสู่การเข้าใจตนเองของบุคคล ในขณะที่ผู้ที่มี ความแปรปรวนทางอารมณ์และบุคลิกภาพ เกิดจากความไม่สามารถสื่อสารประสบการณ์เฉพาะตนอย่างเหมาะสมได้ 3. ตัวตน ( The Self ) เป็นศูนย์กลางของบุคลิกภาพ ที่เป็นส่วนของการรับรู้ และค่านิยมเกี่ยวกับตัวเรา ตัวตนพัฒนามาจากกการที่อินทรีย์มีปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม เป็นประสบการณ์เฉพาะตน ในการพัฒนาตัวตนของบุคคลนั้น บุคคลจะพบว่า มีบางส่วนที่คล้ายและบางส่วนที่แตกต่างไปจากผู้อื่น ตัวตนเป็นส่วนที่ทำให้พฤติกรรมของบุคคลมี ความคงเส้นคงวา (Consistency) และประสบการณ์ใดที่ช่วยยืนยัน ความคิดรวบยอดของตน (Self-concept) ที่บุคคลมีอยู่ บุคคลจะรับรู้ และผสมผสานประสบการณ์นั้นเข้ามาสู่ตนเองได้อย่างไม่มี ความคับข้องใจ แต่ประสบการณ์ที่ทำให้บุคคลรู้สึกว่าอัตมโนทัศน์ที่มีอยู่เบี่ยงเบนไปจะทำให้บุคคลเกิด ความคับข้องใจที่จะยอมรับประสบการณ์นั้น ความคิดรวบยอดของตนเป็นสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพราะบุคคลจะต้องอยู่ในโลกแห่ง ความเปลี่ยนแปลงโดยมีตัวเอง (Self) เป็นศูนย์กลางในการแสดงพฤติกรรมต่างๆ โรเจอร์ส อธิบายว่า “ตัวตน” ของบุคคลสามารถแบ่งออกเป็นลักษณะต่างๆ ได้แก่ มโนภาพแห่งตน หรือ ความคิดรวบยอดของตน หรือตัวตนตามที่มองเห็น (Self-Concept) เป็นส่วนที่ตนมองเห็นภาพของตนเอง ที่บุคคลมีการรับรู้และมองเห็นตนเองในหลายแง่หลายมุม เช่น “ฉันเป็นคนเก่ง” “ฉันเป็นคนสวย” “ฉันเป็นคนอาภัพ ด้อยวาสนา” “ฉันเป็นคนขี้อาย”เป็นต้น และสิ่งที่บุคคลมองเห็นตัวเองนี้อาจไม่ตรงกับที่ผู้อื่นมองเห็น หรือรับรู้ก็ได้ เช่น ผู้ที่เห็นแก่ตัวและชอบเอาเปรียบผู้อื่น หรือผู้ที่มี ความทะเยอทะยานสูง อาจไม่ทราบว่า ตนเป็นคนเช่นนั้น ตัวตนแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ ตัวตนที่เป็นจริง กับตัวตนตามอุดมคติ ตัวตนตามที่เป็นจริง (Real Self) เป็นลักษณะของบุคคลที่เป็นไปตาม ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งบุคคลอาจรู้ตัวหรือไม่ตัวก็ได้ เช่น “เป็นคนเรียนเก่ง” “เป็นคนสวย” “เป็นคนร่ำรวย” ฯลฯ และพบว่าบ่อยครั้งที่บุคคล จะมองไม่เห็นในส่วนที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของตนเลย ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น แตงกวา มองเห็นว่าเธอเป็นคนเรียนเก่ง กว่าเพื่อนๆ ทั้งๆ ที่ใน ความเป็นจริงแล้ว เธอไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย เธอจึงทำตัวดูถูกเพื่อนๆ ที่เรียนไม่เก่ง และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เธอไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าที่ควร เป็นต้น ตัวตนตามอุดมคติ (Ideal Self) หมายถึง ภาพที่ตนเองอยากจะเป็น ซึ่งหมายถึง บุคคลยังไม่สามารถเป็นได้ในสภาวะปัจจุบันเช่น “น้องแดงอยากเป็นทั้งคนเก่งและคนสวยเหมือนพี่ปุ๋ย” เป็นต้น โรเจอร์สได้อธิบายถึงการทำงานของตัวตนในบุคคลว่า ต้องสอดคล้องกันอย่างเหมาะสม กล่าวคือ มโนภาพแห่งตนของบุคคลจึงต้องมี ความสมเหตุสมผล ตรงกับ ความเป็นจริงและตรงจากประสบการณ์ การที่บุคคลมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม บุคคลที่มีมโนภาพแห่งตนอย่างไร ก็จะมีพฤติกรรมไปตามแนวทางของมโนภาพที่เขามีอยู่ ถ้าบุคคลมีประสบการณ์ที่ทำให้มโนภาพแห่งตนเดิมที่เขามี อยู่ไม่ตรงกับ ความเป็นจริง หรืออาจกล่าวได้ว่า ถ้ามโนภาพแห่งตน ขัดแย้งและไม่สอดคล้อง (Incongruence) กับตนตาม ความเป็นจริงมากเท่าไร บุคคลจะเกิดการป้องกันตนเอง เกิด ความวิตกกังวล และนำไปสู่ปัญหาทางอารมณ์ จิตใจ และบุคลิกภาพมากขึ้นเท่านั้น และนอกจากนี้ ผู้ที่มีมโนภาพแห่งตน สอดคล้องกับตนตาม ความเป็นจริงนั้น ก็มักจะพอใจและมองเห็นตนตามอุดมคติสอดคล้องกันไปด้วยเช่นกัน เพราะเขาจะมี ความรู้สึกพึงพอใจกับตัวตนที่แท้จริงของเขาเสมอ ไม่จำเป็นต้องสร้างภาพตนตามที่ต้องการเป็นขึ้นมา เพราะเขาจะไม่อยากจะเป็นใครอีกนอกจากเป็นตัวเองเท่านั้น จะเป็นผู้ที่มีสุขภาพจิตดีไม่ป้องกันตนเอง ยอมรับการเปลี่ยนแปลง และมีแนวโน้มที่จะพัฒนาไปสู่การรู้จักตัวเองอย่างแท้จริง ยอมรับตนเอง สามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับ ความเป็นจริง มีการรับรู้ต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ กล้าเปิดตนเองออกรับประสบการณ์ใหม่ๆ เลือกตัดสินใจด้วยตนเอง โดยไม่ขึ้นอยู่กับการยอมรับของผู้อื่นและสังคม ตลอดจนเข้าใจในค่านิยมของตนเอง ในขณะที่สามารถยืดหยุ่นต่อสภาพการณ์ต่างๆ โดยไม่ยึดติดอยู่ในค่านิยมของตนอย่างยึดติดเป็นต้น

ทฤษฎีวิเคราะห์องค์ประกอบ ของเรย์มอนด์ บี แคทเทลล์

ทฤษฎีวิเคราะห์องค์ประกอบ ( Factor Analytic Theory ) ของเรย์มอนด์ บี แคทเทลล์ Raymond B. Cattell เป็นนักจิตวิทยาบุคลิกภาพที่ได้พยายามศึกษาบุคลิกภาพอย่างมีระบบระเบียบ เป็นการพยายามที่จะนำวิชาบุคลิกภาพมาสู่การคิด การศึกษา การเข้าใจที่เป็นรูปธรรม มีความชัดเจนเที่ยงตรงด้วยการวัด และวิธีคิด และวิธีการทางสถิติ อันเป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์อย่างจริงจัง ประวัติ และแนวคิดของเขาพอสรุปได้ดังนี้ เรย์มอนด์ บี แคทเทลล์ ( Raymond B. Cattell ) เกิดที่เมือง สตาฟฟอร์ดเชียร์ (Stanffordshire) ประเทศอังกฤษ มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1905 - ค.ศ. 1998 เขาเป็นบุตรชายคนที่สองของตระกูลแคทเทล ( Cattell ) สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีสาขาเคมี เกียรตินิยม จากมหาวิทยาลัยคิงส์ (Kings College) ประเทศอังกฤษ เมื่อมีอายุเพียง 19 ปี หลังจากนั้นเขาได้สนใจในเรื่องจิตวิทยาในเชิงวิทยาศาสตร์ และได้ศึกษาสาขาจิตวิทยาต่อมา และสนใจเป็นผู้ช่วย นักวิจัยชื่อ Charles Spearman และเป็นผู้ให้สร้างทฤษฎีวิเคราะห์องค์ประกอบ (Factor Analytic Theory) ขณะที่เขาเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ได้มีโอกาสเป็นผู้ช่วยในการทำวิจัย กับนักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียง คือ ชาร์ล สเปียร์แมน(Charles Spearman) ศึกษาเรื่องสติปัญญา และได้ทำการทดสอบเพื่อศึกษาทางด้านสติปัญญาอย่างหลากหลายวิธีรวมทั้งได้หาค่าความสัมพันธ์ภายในของคะแนนจาก แบบทดสอบ และได้สรุปว่า ความสามารถทางสติปัญญาประกอบไปด้วยองค์ประกอบทั่วไป (General Factors) ทำให้แคทเทล รับวิธีการเหล่านี้ เป็นแนวทางในการศึกษาทางบุคลิกภาพ และความสามารถในด้านต่างๆ ทำให้การวิจัยทางจิตวิทยาเป็นระบบระเบียบมากขึ้น รวมทั้งใช้วิธีหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ แคทเทลอธิบายคำว่า บุคลิกภาพไว้ว่า "บุคลิกภาพ คือ สิ่งที่จะช่วยให้เราทำนายได้ว่าบุคคลจะทำอะไรในสถานการณ์ที่กำหนดให้" ดังนั้นบุคลิกภาพจึงเป็นเรื่องของพฤติกรรมทั้งหมดของบุคคล ทั้งพฤติกรรมที่เปิดเผย และพฤติกรรมที่ซ่อนเร้น และพฤติกรรมที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน ดังนั้นการศึกษาบุคลิกภาพจะต้องศึกษาพฤติกรรมทั้งหมดไม่ใช่ศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

จูเนียร์ เขียนไว้ว่า "เรื่องราวความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของชาวอเมริกัน"

จอร์จ กาลอป จูเนียร์ เขียนไว้ในหนังสือ "เรื่องราวความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของชาวอเมริกัน" ซึ่งข้อมูลได้มาจาก การสำรวจ ชาวอเมริกันกว่า 1,500 คนว่า ลักษณะของผู้ที่ประสบความสำเร็จนั้นส่วนใหญ่มีลักษณะดังนี้ 1. มีสามัญสำนึกที่ดี การตัดสินใจจะใช้ดุลยพินิจบนพื้นฐานสามัญสำนึกที่ดี สามารถ แยกแยะปัญหา ที่ซับซ้อน ให้เป็น รูปแบบ ที่เข้าใจง่ายที่สุด 2. มีความรู้ลึกซึ้งในงานของตนเอง เป็นผลจากการใฝ่เรียนใฝ่รู้ตลอดชีวิต คนเหล่านี้จะ"ทำการบ้านอยู่เสมอ" ซึ่งช่วยลดความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นได้มากทีเดียว 3. พึ่งพาตนเอง 4. มีสติปัญญา มีความสามารถในการอ่าน การคิด และการเขียนเป็นอย่างดี 5. มีความสามารถที่จะทำงานให้บรรลุผล ผู้ประสบความสำเร็จมักจะขยันทำงานหนักกว่าใคร มีความสามารถ ใน การจัดการ รู้จักแยกแยะว่า อะไรสำคัญหรือไม่สำคัญ 6. มีภาวะผู้นำ รู้จักใช้ศิลปะการจูงใจคน ไม่ใช่ใช้อำนาจข่มขู่ 7. รู้จักแยกแยะสิ่งผิดกับสิ่งถูก มีคุณธรรมและความยุติธรรม ดำรงตนอยู่ในครรลองของศีลธรรม 8. มีความคิดสร้างสรรค์ แต่ก็ไม่สำคัญเท่ากับ การรู้จักนำความคิด นั้นมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ 9. มีความมั่นใจในตัวเอง รู้ว่าตนสามารถทำในสิ่งที่เป็นไปได้ให้บังเกิดผลสำเร็จ 10. รู้วิธีสื่อสารเจรจา สามารถสื่อความให้ทุกคนเข้าใจและยอมรับได้ แม้กระทั่งต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก 11. เห็นใจคนอื่น การเห็นใจคนอื่นจะทำให้เขาเข้ากับใครๆ ได้ง่าย 12.โชคช่วย เก่งอย่างเดียวอาจไม่พอ ต้องมีโชคช่วยด้วยจึงจะประสบความสำเร็จ

บุคลิกภาพที่ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง เป็นคำอุปมา-อุปไมย มีความหมายอย่างไร

บุคลิกภาพที่ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง “ ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง” นั้น สามารถนำมาใช้ได้กับผู้ให้บริการทุกคนที่จะต้องคอยตอบคำถาม ประสานงาน ให้ความร่วมมือและความช่วยเหลือแก่ผู้รับบริการทั้งหลาย นั่นหมายความว่าการมีบุคลิกภาพที่ดีย่อมมีเสน่ห์ดึงดูดใจ เป็นเสมือนโซ่คล้องใจลูกค้าให้เกิดความประทับใจ ความมั่นใจในตัวผู้ให้บริการคนนั้น ซึ่งมิใช่เป็นเพียงแค่พนักงานขายที่ทำหน้าที่ขายสินค้าหรือบริการเท่านั้น นอกจากนี้การมีบุคลิกภาพที่ดีสามารถบ่งบอกนัยของการทำงานบางอย่างนั่นก็คือ การเตรียมความพร้อมที่มีต่อการทำงาน เป็นผู้พร้อมที่จะรับผิดชอบงานในทุกรูปแบบ พร้อมที่จะเผชิญปัญหาและอุปสรรคนานาประการ รวมถึงมีความพร้อมต่อการสร้างปฎิสัมพันธ์และการพูดคุยกับผู้อื่น ดังนั้นบุคลิกภาพจึงเป็นเสมือนภาพลักษณ์ภายนอกที่สำคัญ ถือว่าเป็นหน้าตาและกระจกส่องภาพพจน์ของตนเองที่มีต่อสายตาผู้อื่น การสร้างบุคลิกภาพที่ดีของตนเองนั้นไม่ยากเลย ขึ้นอยู่กับความพร้อมและความต้องการของตน ดิฉันมีเทคนิคและหลักปฏิบัติง่าย ๆ ในการปรับปรุงและพัฒนาตนเอง ดังต่อไปนี้ การจัดทรงผม ลองคิดดูว่า หากคุณติดต่อกับคุณ ก เพื่อขอข้อมูล เมื่อคุณเดินเข้าไปในห้องคุณแล้วเหลือบมองขึ้นไปที่ทรงผมที่รกรุงรัง ดูเหมือนว่าจะลืมหวีผม ผมเผ้ายุ่งเหยิง คุณจะรู้สึกอย่างไร? แน่นอนว่าหลายคนคงจะไม่ยากคุยด้วย หรือ รีบ ๆ คุยเพื่อให้เสร็จธุระของตน เหตุเพราะดูเหมือนว่าผู้ให้บริการจะไม่ค่อยเต็มใจหรือขาดความพ้อมที่จะให้ความช่วยเหลือหรือให้ข้อมูลที่ตนต้องการ…. เห็นไหมค่ะว่า คุณจะเสียลูกค้าไปโดยคิดไม่ถึงเลยเชียว แนวทางพัฒนาตนเอง : ก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง คุณควรสังเกตการจัดทรงผมของตนว่าดูเรียบร้อยหรือไม่ ทั้งนี้ขอให้คุณเลือกทรงผมให้เหมาะสมกับกาลเทศะ โอกาส และบุคลิกภาพของตนเองด้วย เช่น หากคุณ (ผู้หญิง) จะเข้าพบลูกค้าที่เป็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กร คุณไม่ควรเลือกแต่งทรงผมแบบเอากิ๊บมาติดไว้ข้างๆ หู เพราะคิดว่าจะได้ดูอาโนะเน๊ะ ผู้ใหญ่จะได้เอ็นดูเรา ดิฉันขอบอกได้เลยค่ะว่า “ คิดผิดถนัด ” การแต่งกาย คุณจะรู้สึกอย่างไร หากหัวหน้างานเดินเข้าทักทาย ในขณะที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ย หรือเพื่อนร่วมงานใส่เสื้อผ้าที่มีกลิ่นเหม็นอับ หรือลูกน้องใส่เสื้อผ้าดูเซ็กซี่ กระโปรงสั้นจู๋ เสื้อแขนกุด มีเว้าๆ แวม ๆ พบว่าการแต่งกายเช่นที่ว่านี้จะทำให้เกิดความคิดมากมายของผู้พบเห็นที่มีต่อการแต่งกายเช่นนั้น บางคนคิดอาจคิดอนาจาร จินตนาการเลยเถิดกันเข้าไปใหญ่ ลูกค้าบางคนอาจไม่ชอบใจพลอยทำให้ไม่อยากพูดคุยด้วยก็เป็นได้ แนวทางพัฒนาตนเอง : การแต่งกายถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก คุณควรเลือกใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสมกับรูปร่างและบุคลิกลักษณะของตน ทั้งนี้ขอให้ดูความเหมาะสมของบุคคลและสถานที่ที่คุณจะเข้าไปพบด้วย เช่น บริษัทอนุญาตให้แต่งชุดฟรีสไตล์มาทำงานในวันศุกร์ได้ คุณก็กลับใส่กางเกงขาสั้น เสื้อแขนกุด ไปหาลูกค้าภายนอก เหตุเพราะบริษัทให้แต่งกายแบบสบาย ๆ ในวันนั้นได้ นอกจากการเลือกซื้อเสื้อผ้าให้เหมาะสมแล้ว คุณควรจะดูแลสภาพความเรียบร้อยของเสื้อผ้าที่แต่งด้วย ควรจะรีดและจัดเสื้อให้เรียบร้อย ที่สำคัญคุณไม่ควรปล่อยให้เสื้อผ้าส่งกลิ่นเหม็นอับหรือมีกลิ่นที่ไม่น่าพึงประสงค์ การเดิน นั่ง และยืน ท่าเดิน นั่ง และยืน จะบ่งบอกได้ถึงลักษณะนิสัยใจคอของคุณว่าคุณเป็นคนอย่างไร มีอารมณ์ ความรู้สึก และความต้องการเป็นอย่างไร คนบางคนเดินแกว่งแขนไปมา มีการยกไหล่เล็กน้อยในขณะแกว่งแขน พบว่าท่าเดินแบบนี้ดูเหมือนจะหาเรื่องใส่ตัวเอง บอกให้คนอื่นรู้ว่า “ ข้าใหญ่ ข้าแน่” ในขณะที่คนบางคนยืนหรือเดินห่อไหล่ แบบหมดอาลัยตายอยาก พบว่าท่าเดินแบบนี้จะแสดงให้เห็นว่าคนๆ นั้นเป็นคนที่ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ไม่กล้าที่จะแสดงออก… แล้วคุณยังอยากจะมีท่าเดิน นั่ง และยืนแบบนี้หรือไม่ แนวทางพัฒนาตนเอง : การพัฒนาตนเองด้วยท่าเดิน นั่ง และยืนที่ดูดีจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะการแสดงออกเหล่านี้จะบ่งบอกถึงบุคลิกภาพที่มีความมั่นใจและเชื่อมั่นในตนเอง หลักง่าย ๆ ของการเดิน นั่ง และยืนที่ดูดีก็คือ ยืดตัว หน้าตรง เดินแกว่งแขนไปมาเล็กน้อย ทั้งนี้การมีท่าเดิน นั่ง และยืนที่ถูกลักษณะ นอกจากจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของตนเองแล้ว ยังส่งผลดีต่อสุขภาพของคุณเอง ไม่เป็นโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระดูก เช่น ปวดหลัง ปวดข้อต่อ เป็นต้น การใช้สายตา และแววตา หากคุณคุยอยู่กับใครสักคน แล้วเค้ามองออกไปที่อื่น แลดูเหมือนจะสนใจคนอื่นมากกว่าตัวคุณเอง หรือคนบางคนที่คุณคุยด้วยมีแววตาเศร้าหมอง สลดหดหู่ สีหน้าอิดโรย ดูแล้วเหมือนจะไม่ได้หลับได้นอน และยิ่งถ้าคุณเจอลูกน้อง ลูกค้า หรือหัวหน้างานมีสายตาและแววตาเช่นที่ว่านี้ คุณจะรู้สึกอย่างไร คงจะมีน้อยคนนักที่ยังอยากจะคุยกับบุคคลเหล่านี้ด้วย เฉกเช่นเดียวกันค่ะ หากคุณแสดงออกด้วยสายตาและแววตาเช่นนี้ ก็คงจะมีคนบางคน หรือหลายคนที่ไม่อยากจะคุยด้วย แนวทางพัฒนาตนเอง : สายตาและแววตาที่แสดงออกมาจะเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจผู้อื่นได้ ดังนั้นสิ่งแรกเลยก็คือ คุณจะต้องสบตากับผู้ที่พูดด้วย ไม่หลบหรือหลีกเลี่ยงการปะทะสายตา การสบสายตานั้นมิใช่การจ้องมองแบบเอาเลือดเอาเนื้อ ควรเป็นการแสดงออกด้วยความรู้สึกเอาใจใส่ และความปรารถนาที่อยากจะพูดคุยด้วย รวมถึงการมีแววตาที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือ ความเป็นกันเอง และความร่วมมือต่าง ๆ ดังนั้นการนอนหลับพักผ่อน การดูแลสุขภาพของตน และการมีสภาพจิตใจที่ดีจะช่วยทำให้คุณสามารถมีสายตาและแววตาที่ดี สดใส และแจ่มใสอยู่เสมอ การใช้คำพูด และน้ำเสียง คงไม่มีใครชอบพูดคุยกับคนที่ใช้น้ำเสียงหรือคำพูดที่ไม่ถูกกาลเทศะ คนบางคนทำร้ายตนเองด้วยคำพูดและน้ำเสียงที่สื่อออกมา เป็นคำพูดที่แสดงความไม่สุภาพ ก้าวร้าว สักแต่ว่าจะพูด โดยไม่คำนึงว่าผู้ฟังจะรู้สึกอย่างไร เช่น หากหัวหน้าพูดกับคุณว่า “ พูดหลายหนแล้วนะงานนี้ สอนแล้วไม่รู้จักจำ มีสมองไว้คั่นหูหรือไงเนี่ย” ถ้าคุณได้ยินคำพูดแบบนี้ คุณจะรู้สึกอย่างไร? แนวทางพัฒนาตนเอง : มีหลากหลายวิธีเพื่อป้องกันมิให้คุณตายเพราะคำพูด ทางแรกคือ นิ่งเงียบ ใช้สถานการณ์ของการเงียบสยบความรู้สึก ไม่พูดจะดีกว่าพูดออกมา แต่ถ้าคุณรู้สึกอึดอัดใจทนไม่ไหวจะต้องพูดแล้วล่ะก็ ดิฉันขอให้เลือกใช้คำพูดแบบบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่นจะดีกว่า หลีกเลี่ยงการใช้คำพูดดูถูกดูหมิ่น เหน็บแนม หรือใช้คำพูดก้าวร้าว เอ๊ะอะโวยวาย การแสดงพฤติกรรมอื่น ๆ ที่ไม่ธรรมดา การแสดงพฤติกรรมอื่น ๆ ที่ผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการเอามือล้วงกระเป๋า ผิวปาก หรือยักคิ้ว ยักไหล่ เวลาพูดคุยกับผู้อื่น หรือแสดงพฤติกรรมอื่น ๆ ที่แปลกไปจากคนอื่น ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ไม่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้ดูแล้วเสียบุคลิกภาพ เสียภาพลักษณ์ ทำให้ขาดความน่าเชื่อถือ ขาดความเลื่อมใสและศรัทธาต่อผู้พบเห็น แนวทางพัฒนาตนเอง : คุณควรสังเกตตนเองว่าได้แสดงพฤติกรรมผิดปกติที่แปลกไปจากคนอื่นหรือไม่ รวมถึงการยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ไม่ควรต่อว่าหรือแสดงความโกรธเคือง หากมีเพื่อน หรือบุคคลอื่นตักเตือนหรือบอกกล่าวว่าคุณแสดงพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่ควรทำ ซึ่งคุณอาจแสดงจนเป็นนิสัยไปแล้ว แต่ทว่าพฤติกรรมเหล่านี้จะไม่ส่งผลดีต่อภาพพจน์และบุคลิกภาพของตนเอง ดังนั้นคุณควรพยายามที่จะละเลิก และยกเลิกการแสดงออกถึงพฤติกรรมที่ไม่ดีเหล่านั้น พฤติกรรมบางอย่างอาจใช้เวลา แต่ก็ยังดีกว่าที่คุณไม่เคยให้เวลาและใส่ความพยายามที่จะละทิ้งพฤติกรรมเหล่านั้นลงไป ดังนั้นการมีบุคลิกภาพที่ดีย่อมส่งผลโดยตรงต่อภาพพจน์ที่ดีที่มีต่อสายตาของลูกค้า ถือว่าเป็นภาพภายนอกที่คุณจะต้องแต่งแต้มเติมสีสรรเข้าไป เพื่อให้ลูกค้าชอบและประทับใจ และนั่นหมายความว่า คุณจะเป็นผู้หนึ่งที่สามารถผูกจิตผูกใจลูกค้าด้วยภาพลักษณ์ภายนอกที่คุณเองเป็นผู้สร้างขึ้นมา

วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ทฤษฎีบุคลิกภาพ

ทฤษฎีวิเคราะห์องค์ประกอบ ( Factor Analytic Theory ) ของเรย์มอนด์ บี แคทเทลล์ Raymond B. Cattell เป็นนักจิตวิทยาบุคลิกภาพที่ได้พยายามศึกษาบุคลิกภาพอย่างมีระบบระเบียบ เป็นการพยายามที่จะนำวิชาบุคลิกภาพมาสู่การคิด การศึกษา การเข้าใจที่เป็นรูปธรรม มีความชัดเจนเที่ยงตรงด้วยการวัด และวิธีคิด และวิธีการทางสถิติ อันเป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์อย่างจริงจัง ประวัติ และแนวคิดของเขาพอสรุปได้ดังนี้ เรย์มอนด์ บี แคทเทลล์ ( Raymond B. Cattell ) เกิดที่เมือง สตาฟฟอร์ดเชียร์ (Stanffordshire) ประเทศอังกฤษ มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1905 - ค.ศ. 1998 เขาเป็นบุตรชายคนที่สองของตระกูลแคทเทล ( Cattell ) สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีสาขาเคมี เกียรตินิยม จากมหาวิทยาลัยคิงส์ (Kings College) ประเทศอังกฤษ เมื่อมีอายุเพียง 19 ปี หลังจากนั้นเขาได้สนใจในเรื่องจิตวิทยาในเชิงวิทยาศาสตร์ และได้ศึกษาสาขาจิตวิทยาต่อมา และสนใจเป็นผู้ช่วย นักวิจัยชื่อ Charles Spearman และเป็นผู้ให้สร้างทฤษฎีวิเคราะห์องค์ประกอบ (Factor Analytic Theory) ขณะที่เขาเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ได้มีโอกาสเป็นผู้ช่วยในการทำวิจัย กับนักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียง คือ ชาร์ล สเปียร์แมน(Charles Spearman) ศึกษาเรื่องสติปัญญา และได้ทำการทดสอบเพื่อศึกษาทางด้านสติปัญญาอย่างหลากหลายวิธีรวมทั้งได้หาค่าความสัมพันธ์ภายในของคะแนนจาก แบบทดสอบ และได้สรุปว่า ความสามารถทางสติปัญญาประกอบไปด้วยองค์ประกอบทั่วไป (General Factors) ทำให้แคทเทล รับวิธีการเหล่านี้ เป็นแนวทางในการศึกษาทางบุคลิกภาพ และความสามารถในด้านต่างๆ ทำให้การวิจัยทางจิตวิทยาเป็นระบบระเบียบมากขึ้น รวมทั้งใช้วิธีหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ แคทเทลอธิบายคำว่า บุคลิกภาพไว้ว่า "บุคลิกภาพ คือ สิ่งที่จะช่วยให้เราทำนายได้ว่าบุคคลจะทำอะไรในสถานการณ์ที่กำหนดให้" ดังนั้นบุคลิกภาพจึงเป็นเรื่องของพฤติกรรมทั้งหมดของบุคคล ทั้งพฤติกรรมที่เปิดเผย และพฤติกรรมที่ซ่อนเร้น และพฤติกรรมที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน ดังนั้นการศึกษาบุคลิกภาพจะต้องศึกษาพฤติกรรมทั้งหมดไม่ใช่ศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง การพัฒนาบุคลิกภาพ (The Development of Personality) การศึกษาพัฒนาการบุคลิกภาพของแคทเทล เราต้องศึกษาเกี่ยวกับเรื่องพันธุกรรม และอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญใน การกำหนดบุคลิกภาพ และ พัฒนาการบุคลิกภาพประกอบด้วยการปรับปรุงหน่วยพลังกับเมตะเอิร์ก และการจัดระบบตัวตนทางโครงสร้าง ซึ่งการที่บุคคลจะมีพัฒนาการได้มากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับการพัฒสามารถในการทำหน้าที่ของ สติปัญญา ความพร้อมในการแข็งขัน และ ความเข้มของความจำ (Strength of Memory) การเรียนรู้ (Learning) แคทเทล จำแนกการเรียนรู้ออกเป็น 3 ประเภท และการเรียนรู้ทั้ง 3 ประเภท คือ 1. การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก (Familiar Classical) มีความสำคัญต่อการตอบสนองทางจิตใจ และเงื่อนไข ของสิ่งแวดล้อม 2. การวางเงื่อนไขแบบปฏิบัติการ (Instrumental Conditioning) เป็นการตอบสนองเพื่อการนำไปสู่เป้าหมายต่างๆ ให้เกิดความพึงพอใจ และการเรียนรู้ชนิดนี้มีความสัมพันธ์กับตารางการเคลื่อนไหว (Dynamic Lattice) แคทเทล เรียกการเรียนรู้แบบนี้ว่า การเรียนรู้จากการมาพบกัน (Confluence Learning) พฤติกรรม หรือเจตคติที่แสดงออกมานั้นจะแสดงความพึงพอใจมากกว่าเป้าหมาย ดังนั้นเจตคติหนึ่งจึงเกี่ยวข้องกับความอ่อนไหวทางอารมณ์หลายอย่าง และความอ่อนไหวทางอารมณ์ก็จะเกี่ยวข้องกับหน่วยพลังหลายๆ หน่วย และอาจเห็นได้จากโครงสร้างของตารางการเคลื่อนไหวนาความ 3. การเรียนรู้แบบบูรณาการ (integration Learning) การเรียนรู้แบบนี้บุคคลจะสร้างความพึงพอใจในระยะยาว และแสดงออกโดยหน่วยพลังทั้งหลาย กฎการเรียนรู้ของแคทเทล มี 2 ข้อคือ ทางเลือกที่แปรเปลี่ยน ข้อ 1 (The First Dynamic Crossroad ) เกิดขึ้นเมื่อบุคคลพยายามขั้นแรกที่จะสนองความพึงพอใจของหน่วยพลังอย่างหนึ่ง ทำให้เกิดผลตามมา 4 ประการคือ 1. บุคคลได้รับการตอบสนองความปรารถนา ซึ่งเกิดจากผลของพฤติกรรมที่มีรูปแบบติดตัวมาแต่กำเนิด 2. บุคคลไม่สามารถสมปรารถนาได้ เพราะไม่สามารถใช้การตอบสนองทางด้านการเคลื่อนไหว และการรับรู้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อพบสภาพสิ่งแวดล้อมที่จำกัด 3. รูปแบบของพลังอาจจะได้รับการปรับปรุง หรือถูกแทนที่โดยหน่วยพลังอื่นที่เข้ามาสนับสนุนหน่วยพลังอันแรก 4. บุคคลไม่สามารถที่จะบรรลุเป้าหมายได้ทั้งนี้ เพราะมีอุปสรรคขัดขวาง ถึงแม้ว่าทางไปสู่เป้าหมายนั้นจะเหมาะสมกับบุคคลนั้น และสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนก็ตามแคทเทลถือว่าปฏิกิริยาของข้อสองเป็นการตอบสนองที่กระจัดกระจาย (Response Dispersion) ในกรณีนี้บุคคลไม่ทราบว่าจะมีปฏิกิริยาตอบโต้ หรือพฤติกรรมอย่างไรจึงจะสามารถ ลดความเครียดซึ่งเกิดจากหน่วยพลังนั้น ด้วยเหตุนี้บุคคลไม่อาจทราบว่า จะมีปฏิกิริยาตอบสนอง ที่เปลี่ยนแปลงไป ได้หลายรูปแบบ และไม่อาจจะแยกแยะความแตกต่าง ในทางตรงกันข้ามบุคคลที่ประสบอุปสรรคในข้อสี่จะรู้สึกโกรธ และหาแนวทางตอบสนอง ด้วยความก้าวร้าว แคทเทลเชื่อว่า จากทางเลือก หรือการต่อสู้ทั้งสี่ข้อนี้สามารถแสดงให้เห็นความสำคัญของ การมาพบกัน (Confluence) หรือพัฒนาการ ของการตอบสนองความอ่อนไหว ทางอารมณ์ที่ช่วยให้บุคคลได้รับความพึงพอใจในหน่วยพลังตั้งแต่สองหน่วยขึ้นไป พร้อมกับการ ตอบสนองที่กระจัดกระจาย และมีความสัมพันธ์กับกฎของแรงขับซึ่งจะนำไปสู่พัฒนาการการสร้างรูปแบบพฤติกรรมใหม่ทางเลือกที่แปรเปลี่ยน ข้อ 2 (The Second Crossroad) จากทางเลือกข้อสี่ เมื่อการตอบสนองของหน่วยพลังพบอุปสรรค บุคคลจะมีแนวทางเลือกหลาย ๆ แนว เช่น เพิ่มกิจกรรมบางอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งความพอใจ ระบายอารมณ์โกรธเพื่อเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ใช้ความโกรธในรูปการทำร้ายตนเอง จนเป็นคนที่ไม่มีประสิทธิภาพ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัญหา หรืออุปสรรคต่างๆทางเลือกที่แปรเปลี่ยน ข้อ 3 (The Third Dynamic Crossroad) เกิดขึ้นเมื่อบุคคลมีแบบการตอบสนองต่ออุปสรรคด้วยความโกรธ แต่ไม่สามารถเอาชนะได้ ทำให้บุคคลเลือกที่จะทำการตอบสนองใน 4 ลักษณะด้วยกันคือ หมดหวัง หรือยกเลิก กลัว หรือหนี แสดงความก้าวร้าว และใช้วิธีการจินตนาการถ้าบุคคลเลือกตอบสนองจากข้อสอง และข้อสามในไม่ช้าบุคคลจะถอยหนีจากสถานการณ์นั้น หรืออาจมีพลังความสามารถ เอาชนะอุปสรรค จนประสบความสำเร็จตามจุดมุ่งหมาย หรืออาจยกเลิกความพยายามโดย การปฏิเสธสิ่งเร้าที่ทำให้เกิดความต้องการนั้นๆ เสียทางเลือกที่แปรเปลี่ยน ข้อ 4 (The Fourth Dynamic Crossroad) เป็นการล้มเลิกหน่วยพลัง โดยที่บุคคลเปลี่ยนแปลงการปรับตัว จากลักษณะภายนอก เข้าสู่การปรับตัวภายในโดยการปฏิเสธ หรือล้มเลิกพลังความต้องการ ความวิตกกังวลมีบทบาทที่สำคัญที่สุด ในการที่จะต้องละทิ้งแนวโน้มของ หน่วยพลังนั้นๆ บุคคลมีทางเลือก 4 อย่างด้วยกัน คือ 1. เก็บกดพลังไว้ คือ การปฏิเสธด้วยความสมัครใจ และต่อต้านที่จะแสดงปฏิกิริยาที่เป็นไปตามความต้องการ 2. พยายามเก็บกดแต่เป็นขบวนการที่บุคคลไม่พอใจ ในกรณีนี้บุคคลจะต่อต้าน และขับไล่สิ่งที่ไม่ต้องการออกไปจากจิตสำนึก 3. เปลี่ยนความต้องการโดยการสร้างกลวิธานป้องกันตัวชนิดทดเทิด (Sublimate) โดยหาจุดมุ่งหมายที่สังคมยอมรับมาทดแทนอย่างรู้ตัว และรู้ตัวว่ากำลังทำอะไร 4. บุคคลอาจจะกลับไปใช้พฤติกรรมที่ไม่ได้ปรับปรุงซ้ำแล้วซ้ำอีก หรือมิฉะนั้นก็พาลเกเร หรือหาจุดมุ่งหมายอื่นๆ ที่มีลักษณะต่อต้านสังคมทางเลือกที่แปรเปลี่ยน ข้อ 5 (The Fifth Crossroad) ในการเก็บกดความต้องการทำให้บุคคลเกิดการตอบสนอง 4 ลักษณะคือ 1. เพ้อฝันอย่างไม่รู้ตัว และบางครั้งก็รู้ตัว 2. เก็บกดไว้ในจิตไร้สำนึก 3. เก็บกดอย่างมั่นคงซึ่งหน่วยพลังจะแสดงออกมาทางอ้อม และมีผลต่อพฤติกรรมของ บุคคลในระยะต่อมา 4. บุคคลอาจใช้การทดเกิดอย่างไม่รู้ตัวทางเลือกที่แปรเปลี่ยน ข้อ 6 (The Sixth Crossroad) เป็นลักษณะการเก็บกดที่ไม่มั่นคง และไม่ได้ผลเต็มที่ บุคคลจึงเพิ่มกลวิธานป้องกันอย่างใดอย่างหนึ่งใน 10 อย่าง ซึ่งเป็นแนวเดียวกับจิตวิเคราะห์ กลวิธานป้องกันตัว 10 อย่าง มีดังนี้ คือ การจินตนาการ (Fantasy) การทำปฏิกิริยาตรงกันข้าม (Reaction Formation) การโยนความผิดให้ผู้อื่น (Projection) การหาเหตุผลมาอ้าง (Rationalization) การเก็บกด (Repression) การเก็บกดมากยิ่งขึ้น (Further Repression) การควบคุมหน่วยพลังย่อย (Restriction of Ego) การถดถอย (Regression) การย้ายแหล่งทดแทน (Displacement) การย้ายแหล่งทดแทนโดยการสร้างอาการของโรคต่างๆ (Displacement with Symption Formation) แคทเทลถือว่า กลวิธานในการป้องกันตนเองป้องกัน 3 ประการหลัง Id เป็นตัวหนุนกำลังที่สำคัญบุคลิกภาพในสังคมระดับกลุ่ม (The Social Context) แคทเทลได้พยายามเน้นถึงอิทธิพลของวัฒนธรรม และสังคมที่ มีต่อพฤติกรรม และบุคลิกภาพของบุคคลไว้ว่า สถาบันทางสังคม ที่กล่อมเกลา หรือมีอิทธิพลต่อบุคลิกภาพมีหลาย สถาบันแต่ที่สำคัญที่สุดคือ ครอบครัว และทีสำคัญรองลงมาคือ สถาบันการศึกษา สถาบันอาชีพ กลุ่มที่บุคคลเป็น สมาชิก ศาสนา พรรคการเมือง และประเทศชาติ สถาบันเหล่านี้อาจส่งผลต่อบุคลิกภาพของบุคคลได้ดังนี้ 1. สถาบันที่จงใจจะทำให้เกิดบุคลิกภาพชนิดใดชนิดหนึ่งหมายถึง ลักษณะบุคลิกภาพที่ สังคมนั้นต้องการ อาจรวมอุปนิสัย และบุคลิกภาพเฉพาะ โดยทีสถาบันนั้นจงใจผลิตลักษณะที่ต้องการขึ้น 2. องค์ประกอบทางด้านนิเวศวิทยา หรือสถานการณ์ อาจส่งผลให้เกิดบุคลิกภาพซึ่ง สถาบันในสังคมไม่ได้จงใจ 3. เมื่อเกิดรูปแบบของพฤติกรรมอันเป็นผลของขบวนการข้อใดข้อหนึ่งในสองข้อข้างต้น แต่ละบุคคลอาจพบว่าจำ เป็นต้อง ปรับปรุงแก้ไข บุคลิกภาพของเขาเพื่อการพัฒนาตนต่อไป ดังนั้นเพื่อทำความเข้าใจในเรื่องพัฒนาการบุคลิกภาพให้ดีพอ จึงมีความจำเป็นจะต้องพิจารณาถึงความสำคัญของ สถาบันทางสังคมต่างๆ ที่ส่งผลถึงบุคลิกภาพตั้งแต่สถาบันครอบครัวไปจนถึงสถาบันระดับประเทศชาติด้วย องค์ประกอบบุคลิกภาพ บุคลิกภาพของ Cattell เป็นลักษณะรวมทั้งหมดของบุคคลซึ่งประกอบไปด้วยร่างกาย และจิตใจ แสดงพฤติกรรมตอบสนองต่อสิ่งเร้าทั้ง จากภายใน และภายนอก โดยมีการบูรณาการจากลักษณะต่างๆ ของพฤติกรรมครอบคลุมไปถึงสภาพทางด้านอารมณ์ ความสามารถ ความสนใจ เจตคติ ค่านิยม และสติปัญญาของบุคคล บุคลิกภาพตามทฤษฎีนี้ ประกอบไปด้วยบุคลิกภาพที่มีองค์ประกอบ 16 ด้าน โดยเรียกว่า The Sixteen Personality ได้แก่ ฮอล์ และ ลินด์เซย์ (1970 : 390) 1. องค์ประกอบ A ชอบออกสังคม – สำรวม 2. องค์ประกอบ B สติปัญญา 3. องค์ประกอบ C อารมณ์มั่นคง – อารมณ์อ่อนไหว 4. องค์ประกอบ E เป็นอิสระแก่ตน –ถ่อมตน 5. องค์ประกอบ F ทำตนตามสบาย – ถี่ถ้วนระมัดระวัง 6. องค์ประกอบ G ซื่อตรงต่อหน้าที่ – ไม่ทำตามกฎ 7. องค์ประกอบ H กล้าสังคม – ขี้อาย 8. องค์ประกอบ I จิตใจอ่อนแอ – จิตใจมั่นคง 9. องค์ประกอบ L ระแวง – ไว้วางใจ 10. องค์ประกอบ M เพ้อฝัน – ทำตามความจริง 11. องค์ประกอบ N มีเหลี่ยม – ตรงไปตรงมา 12. องค์ประกอบ O หวาดกลัว – ประสาทมั่นคง 13. องค์ประกอบ Q1 นักทดลอง – นักอนุรักษ์ 14. องค์ประกอบ Q2 อาศัยตนเอง – อาศัยกลุ่ม 15. องค์ประกอบ Q3 ควบคุมตนเองได้ – ขาดวินัยในตนเอง 16. องค์ประกอบ Q4 เคร่งเครียด – ผ่อนคลาย องค์ประกอบทั้ง 16 ด้านมีรายละเอียด The Sixteen Personality Factor Questionnaire มีรายละเอียดดังนี้ องค์ประกอบ A คือชอบออกสังคม (Outgoing) – สำรวม (Reserved) ผู้ที่ทำคะแนนได้สูง (A+) เป็นบุคคลที่ชอบเข้าสังคม มีความรู้สึกอบอุ่น และเป็นกันเองกับผู้อื่น มีน้ำใจดี ให้ความร่วมมือดี มีความสามารถในการปรับตัว มีความเมตตา กรุณา ผู้ที่ทำคะแนนได้ต่ำ (A-) เป็นบุคคลที่มีลักษณะสำรวม เฉยเมย ชาเย็น ใจแข็ง ไม่นิยมการประนีประนอม ชอบปลีกตัว หรือชอบอยู่คนเดียว และชอบใช้สติปัญญาในการไตร่ตรองอย่างพินิจพิเคราะห์ องค์ประกอบ B คือสติปัญญา (Intelligent) ผู้ที่ได้คะแนนสูง (B+) เป็นผู้ที่มีสติปัญญาสูง (More Intelligent) มีความ สามารถในการคิดเชิงนามธรรมเฉลียวฉลาด มีความเพียรในการศึกษาหาความรู้ และเป็นผู้มีวัฒนธรรม ผู้ที่ได้คะแนนต่ำ (B-) เป็นผู้ที่มีสติปัญญาไม่เฉลียวฉลาดนัก (less Intelligent) มักจะใช้ความคิดในเชิงรูปธรรมมากกว่านามธรรมทำความเข้าใจในสิ่งต่างๆ ได้ช้า ขาดความมั่นคงในตนเอง และขาดความจริงจัง องค์ประกอบ C คือ อารมณ์มั่นคง (Stable) – อารมณ์อ่อนไหว (Emotional) ผู้ที่ได้คะแนนสูง (C+) เป็นบุคคลที่มี อารมณ์มั่นคง มองชีวิตตามความเป็นจริง และเป็นผู้ที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ ไม่มีอาการเหนื่อยหน่ายทางประสาท จิตใจสงบ ผู้ที่ได้คะแนนต่ำ (C-) เป็นบุคคลที่มีอารมณ์อ่อนไหว ไม่มีความอดทนต่อสถานการณ์ยุ่งยาก เจตคติ เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ มีอาการเหนื่อยหน่ายทางประสาท หงุดหงิด โกรธง่าย และมีความวิตกกังวลเสมอ องค์ประกอบ E เป็นอิสระแก่ตน (Assertive) – ถ่อมตน (Humble) ผู้ที่ทำคะแนนได้สูง (E+) เป็นบุคคลที่มีความมั่นใจในตนเอง ถือตนเองเป็นใหญ่ มีความก้าวร้าว ชอบมีอิทธิพลเหนือผู้อื่น ผู้ที่ได้คะแนนต่ำ (E-) เป็นบุคคลที่มีลักษณะถ่อมตน มักจะยอมผู้อื่น ใจดี มีลักษณะความเป็นมิตร และพร้อมที่จะประพฤติตามแบบแผน องค์ประกอบ F คือทำตนตามสบาย (Happy-go-lucky) – ถี่ถ้วนระมัดระวัง (Sober) ผู้ที่ทำคะแนนได้สูง (F+) เป็นบุคคลที่มีลักษณะตามสบาย ว่องไว ช่างคุย ร่าเริง แจ่มใส เปิดเผย และความกระตือรือร้น ผู้ที่ทำคะแนนได้ต่ำ (F-) เป็นบุคคลที่มีลักษณะถี่ถ้วนระมัดระวัง ไตร่ตรอง จริงจัง ครุ่นคิด ไม่ชอบติดต่อกับผู้อื่น และไม่ช่างคุย องค์ประกอบ G คือซื่อตรงต่อหน้าที่ (Conscientious) – ไม่ทำตามกฎ (Expedient) ผู้ที่ทำคะแนนได้สูง (G+) เป็นบุคคลที่ซื่อตรงต่อหน้าที่มีธรรมะ มีความพากเพียร มีความตั้งใจแน่วแน่ มีความรับผิดชอบ ผู้ที่ทำคะแนนได้ต่ำ (G-) เป็นบุคคลที่มีลักษณะไม่มีจุดมุ่งหมายที่แน่นอน ไม่ตั้งใจเรียน ขาดความพยายาม ละเลยต่อหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติขาดความอดทน องค์ประกอบ H คือ กล้าสังคม (Venturesome) – ขี้อาย (Shy) ผู้ที่ทำคะแนนได้สูง (H+) เป็นบุคคลที่มีลักษณะกล้าหาญกล้าเสี่ยง ชอบเข้าสังคม ร่าเริงชอบผจญภัย ชอบทดลองของใหม่ และชอบเป็นมิตรกับคนอื่น ผู้ที่ทำคะแนนได้ต่ำกว่า (H-) เป็นบุคคลที่ขี้อาย มักมีความรู้สึกด้อย พูด และแสดงออกช้า ไม่ชอบอาชีพที่ต้องติดต่อกับบุคคลอื่น ไม่ชอบสนิทสนมกับใคร ความสนใจแคบ และหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเพศตรงข้าม องค์ประกอบ I คือจิตใจอ่อนแอ (Tender-minded) – จิตใจมั่นคง (Tough-minded) ผู้ที่ทำคะแนนได้สูง (I+) เป็นบุคคลที่มีจิตใจอ่อนไหว เอาใจยากต้องการความช่วยเหลือ และความเห็นใจจากผู้อื่น ชอบพึ่งพาผู้อื่น และมีความวิตกกังวล ผู้ที่ได้คะแนนต่ำ (I-) เป็นบุคคลที่มีจิตใจมั่นคง จริงจังต่อชีวิต มีความรับผิดชอบ มีความเชื่อมั่นในตนเอง และแสดงพฤติกรรมต่อสิ่งที่เห็นว่าเป็นไปได้ และเป็นจริง องค์ประกอบ L คือระแวง (Suspicious) – ไว้วางใจ (Trusting) ผู้ที่ทำคะแนนได้สูง (L+) เป็นบุคคลที่มีลักษณะไม่ไว้วางใจใคร ยึดถือแต่ความคิดของตนเองเป็นใหญ่ สนใจแต่ตัวเอง ผู้ที่ทำคะแนนได้ต่ำ (L-) เป็นบุคคลที่สามารถไว้วางใจบุคคลอื่น ร่าเริง ไม่ชอบการแข่งขัน สามารถเข้ากับคนอื่นได้ดี และเป็นสมาชิกที่ดีของกลุ่ม องค์ประกอบ M คือเพ้อฝัน (Imaginative) – ทำตามความจริง (Practical) ผู้ที่ทำคะแนนได้สูง (M+) มักเป็นบุคคลที่ช่างฝัน มีแรงจูงใจในตนเอง ไม่สนใจสิ่งที่จะปฏิบัติได้จริง ผู้ที่ทำคะแนนได้ต่ำ (M-) เป็นบุคคลที่มีลักษณะลงมือปฏิบัติได้ตามความเป็นจริง เจ้าระเบียบ มีความกระตือรือร้น มีความตั้งใจจริง สนใจในสิ่งเป็นไปได้ และสามารถปฏิบัติงานได้โดยไม่ใช้อารมณ์ องค์ประกอบ N คือมีเหลี่ยม (Shrewd) – ตรงไปตรงมา (Forthright) ผู้ที่ทำคะแนนได้สูง (N+) เป็นบุคคลที่ฉลาดแหลมคม หรือฉลาดแบบมีเล่ห์เหลี่ยม ช่างวิเคราะห์ มีความทะเยอทะยาน ผู้ที่ทำได้คะแนนต่ำ (N-) มักเป็นบุคคลที่มีลักษณะเปิดเผยจริงจัง ไม่มีเหลี่ยม ชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มีรสนิยมง่ายๆ ขาดทักษะการเข้าใจตนเอง องค์ประกอบ O คือหวาดกลัว (Apprehensive) – ประสาทมั่นคง (Placid) ผู้ที่ทำคะแนนได้สูง (O+) มักเป็นบุคคลที่มีความหวาดกลัว มีความวิตกกังวลสูง ตกใจง่าย อารมณ์เสียง่าย มักมีอารมณ์เศร้าหมอง หงอยเหงา และขาดความรู้สึกปลอดภัย ผู้ที่ทำคะแนนได้ต่ำ (O-) เป็นบุคคลที่มีประสาทมั่นคง มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ มีความเชื่อมั่นในตนเอง และเชื่อความสามารถของตนเองในการทำงาน องค์ประกอบ Q คือนักทดลอง (Experimentation) – นักอนุรักษ์ (Conservative) ผู้ที่ทำคะแนนได้สูง (Q1+) มักเป็นบุคคลที่สนใจทางด้านการทดลองเป็นนักวิเคราะห์ สนใจเรื่องการใช้สติปัญญา และการเปลี่ยนแปลง ผู้ที่ทำคะแนนได้ต่ำ (Q2-) เป็นบุคคลที่มีแนวคิดติดไปทางด้านอนุรักษ์ หัวเก่า เชื่อมั่นในสิ่งที่ได้รับการปลูกฝัง และการอบรมสั่งสอน ต่อต้าน และพยายามประวิงเวลาการเปลี่ยนแปลง ไม่สนใจการวิเคราะห์ องค์ประกอบ Q2 คืออาศัยตนเอง (Self-sufficient) – อาศัยกลุ่ม (Group-dependency) ผู้ที่ทำคะแนนได้สูง (Q2+) เป็น บุคคลที่พึ่งตนเอง เคยชินกับการทำงานตามวิธีการของตน ไม่สนใจความคิดเห็นของสังคม มีความพึงพอใจในตนเอง ผู้ที่ทำคะแนนได้ต่ำ (Q2-) มักเป็นบุคคลที่ชอบทำงาน หรือตัดสินใจร่วมกับผู้อื่น เป็นผู้ร่วมงาน และผู้ตามที่ดี ต้องการการสนับสนุนจากหมู่คณะ องค์ประกอบ Q3 คือควบคุมตนเองได้ (Controlled) – ขาดวินัยในตนเอง (Undiscipline Self-conflict) ผู้ทีทำคะแนนได้สูง (Q3+) มักเป็นบุคคลที่ควบคุมอารมณ์ และพฤติกรรมของตนเองได้ดี สนใจ และเอาใจใส่ต่อสังคม มีความตั้งใจจริงผู้ที่ทำคะแนนได้ต่ำกว่า (Q3-) เป็นบุคคลที่ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ขาดวินัย มักมีความขัดแย้งในตัวเอง ปรับตัวยาก องค์ประกอบ Q4 คือเคร่งเครียด (Tense) – ผ่อนคลาย (Relaxed) ผู้ที่ทำคะแนนได้สูง (Q4+) มักเป็นบุคคลที่มีความเครียด ตื่นเต้น ตกใจง่าย และหงุดหงิด มีความคับข้องใจสูง ผู้ที่ทำคะแนนได้ต่ำ (Q4-) เป็นบุคคลที่ ไม่เคร่งเครียดอารมณ์เย็น รักสงบ แสดงพฤติกรรมตามความพอใจ ไม่มีความคับข้องใจ พอในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ การแสดงออกสำหรับบุคลิกภาพที่ดี เป็นการแสดงออกทางด้านพฤติกรรมของบุคคล ได้แก่ มารยาท ท่าทาง การสำรวม ล้วนเป็นพฤติกรรมทั้งสิ้น บุคลิกภาพที่ดีคือ 1. การแต่งกาย เป็นการแสดงออกทางด้านหนึ่งทางจิตใจเกี่ยวกับอารมณ์ ความรู้สึก เจตคติ รสนิยมของแต่ละบุคคล การรู้จักการแต่งกายที่ดีให้เหมาะสมกับกาลเทศะ มีความสะอาดเรียบร้อย เหมาะสมกับรูปร่าง จึงเป็นการแสดงออกถึงจิตใจที่ดี มีพื้นฐานการอบรมมาเป็นอย่างดีจากครอบครัว และสถาบันการศึกษา นอกจากนี้ยังแสดงออกถึงความมีระเบียบ 2. การมองบุคคล จะต้องใช้สายตาแสดงความเป็นมิตร ความมีเมตตา ความสุภาพ ซึ่งบุคคลที่พบเห็นก็จะแสดงความเป็นมิตรและให้การต้อนรับ 3. การพูด เป็นการติดต่อสื่อสาร สื่อความหมายได้ดีที่สุด การพูดให้ผู้อื่นฟังเกิดความรู้สึกที่ดี มีความเข้าใจ และมีความสบายใจ ผู้พูดจึงต้องรู้จักศิลปะในการพูด รู้จักสภาวะของผู้ฟัง สามารถพูดชนะใจผู้ฟังได้ 4. การเดิน ควรจะเดินให้ดูแล้วสง่างาม กล่าวคือ เดินตัวตรง รู้จักจังหวะในการเดิน เดินอย่าให้มีเสียงดัง 5. การยืน ควรยืนให้ดูมีลักษณะสวยงาม กล่าวคือ ยืนตัวตรง แขนวางลงข้างตัวตามธรรมชาติ การยืนจะต้องระวังไม่ค้ำศีรษะของบุคคลอื่น 6. การนั่ง ในขณะที่นั่งบนเก้าอี้ ควรจะสำรวมกิริยาอาการให้มาก มองดูแล้วให้เห็นว่ามีความสุภาพ เช่น นั่งตัวตรง หัวเข่าแนบชิดกัน 7. การไอหรือจาม จะต้องระมัดระวังให้มาก เมื่อจะไอหรือจาม จะต้องรู้จักใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากหรือปิดจมูก และจะต้องระมัดระวังไม่ให้ไปไอหรือจามรดหน้าผู้อื่น 8. การรับประทานอาหาร ในขณะร่วมโต๊ะอาหาร ผู้ชายต้องให้เกียรติผู้หญิงโดยเชิญรับประทานอาหารและช่วยบริการช่วยตักอาหารส่งให้โดยใช้ช้อนกลาง หรือเมื่อต้องการจะตักอาหารที่อยู่ไกลและต้องผ่านหน้าบุคคลอื่น จะต้องกล่าวคำขอโทษก่อนแล้วค่อยใช้ช้อนกลางตัก ขณะรับประทานอาหาร ระงังอย่าให้หก อย่าเคี้ยวอาหารเสียงดัง อย่าคายเศษอาหารลงบนโต๊ะ อย่าพูดเวลามีอาหารอยู่ในปาก 9. การหยิบของหรือสิ่งต่าง ๆ ไม่ควรเอื้อมมือหยิบผ่านหน้าหรือคร่อมศีรษะบุคคลอื่นที่อยู่ข้างหน้า จะต้องร้องขอด้วยคำพูดที่สุภาพ เพื่อขอให้บุคคลอื่นช่วยหยิบสิ่งของส่งให้ เมื่อได้รับแล้วจะต้องกล่าวคำว่าขอบคุณเสม ธรรมชาติของมนุษย์ ในการทำงานกับมนุษย์ เราจะต้องเรียนรู้และพยายามเข้าใจถึง การกระทำและการแสดงของเขาเกิดเนื่องจาก " ความเป็นมนุษย์ที่มี ความต้องการ" เช่นเดียวกัน ซึ่งการศึกษาเรื่องธรรมชาติและความต้องการของมนุษย์ จะช่วยให้เราเข้าใจตนเองและเข้าใจผู้อื่นได้ดีขึ้น และนำไปสู่การยอมรับความแตกต่างของมนุษย์ได้ เพื่อจะได้อยู่ร่วมกับมนุษย์ในสังคม อย่างมีความสุข รู้และเข้าใจความ มีอยู่เป็น อยู่จริง ตามธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งจะช่วยให้เรา สามารถตอบสนองความต้องการ ของผู้อื่นได้ อย่างถูกต้อง อันนำไปสู่การมี ความสัมพันธ์ที่ดี และมีมนุษยสัมพันธ์ต่อกัน เราควรระลึกเสมอว่า คนมิใช่สิ่งของ (Man is not a thing ) หรือเครื่องจักร เพราะคนมีอารมณ์ความรู้สึก ค่านิยม ความเชื่อ ความคิดเห็น และบุคคลิกลักษณะส่วนตัว ซึ่งมีผลกระทบต่อผลผลิต และประสิทธิภาพ ขององค์การ มนุษยสัมพันธ์จึงเป็นการศึกษาใจคนเป็นส่วนใหญ่ เป็นการเข้ากับคน เอาชนะใจคน (เสถียร มงคลหัตถี , 2510 : 30) ด้วยเหตุนี้ความสามารถเข้ากับคนได้จึงเป็นสิ่งสำคัญมากในการดำเนินชีวิต " ผู้ที่ล้มเหลวในการดำเนินชีวิตก็เพราะเข้ากับคนไม่ได้ แม้จะมีความรู้ความสามารถสูงสักเพียงใด แต่ถ้าไม่สามารถเข้ากับคน หรือสังคมได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ความสามารถ รวมทั้งชีวิตร่างกายจะไร้คุณค่า สิ้นความหมาย และนั่นคือความล้มเหลวของชีวิตของคนเรา " ในโลกนี้ไม่มีอะไรสำคัญยิ่งไปกว่าคน และในตัวบุคคลไม่มีอะไรจะสำคัญยิ่งไปกว่าจิตใจ ( In the world there is nothing great but man, in man there is nothing great but mind )การที่มนุษย์มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน จะทำให้บุคคลทำงานและอยู่ร่วมกันได้อย่างมีราบรื่นดี และมีความสุข หากสัมพันธภาพเป็นไป ในทางลบ ก็จะไม่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างสงบสุข มีผลให้งานด้อยประสิทธิภาพไปด้วยและ อาจจะทำให้เกิดความแตกแยก ในที่สุด ดังนั้นจึงควรมุ่งศึกษาธรรมชาติของมนุษย์ เพื่อสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคล อันจะเป็นผลต่อการดำรงชีวิตประจำวัน และการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพของมนุษย์ (Ann Ellenson ,1982 : 11) ธรรมชาติได้สร้างสิ่งที่ดีที่สุดเหมาะสมที่สุดให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน โดยมีการคัดเลือกพันธ์ตามธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตใดที่มีความสามารถปรับตัวเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ สิ่งมีชีวิตนั้นก็จะสามารถอยู่รอด และถ่ายทอด ลักษณะเด่นนั้นๆ ออกมาให้แก่ลูกหลานสืบต่อเผ่าพันธ์ และสามารถดำรงเผ่าพันธ์ตนเองไว้ได้ มนุษย์เป็น สิ่งมีชีวิตที่มีความสามารถ ในการปรับตัวได้อย่างดียิ่ง มนุษย์จึงยังสามารถดำรงเผ่าพันธ์ของตนไว้ได้จนถึงปัจจุบัน โธมาส ฮอบส์ ( Thomas Hobbes ) กล่าวว่า " ธรรมชาติของคนนั้นป่าเถื่อน เห็นแก่ตัว ขี้โม้โอ้อวดตน ต่ำช้า หยาบคาย เอาแต่ใจตัวเอง ยื้อแย่งแข่งดีกันโดยไม่มีขอบเขต อายุสั้น แต่ถ้าพบกับความทุกยากแล้ว คนจึงจะลดความเห็นแก่ตัวลง และสังคม จะช่วย ให้เขาดีขึ้น " วิลเลียมสัน (Williamson) ก็กล่าวทำนองเดียวกันว่า " ทุกคนที่เกิดมาเป็นเสมือนผีร้าย "( Every body is evil) แต่ จอห์น ล็อค ( John Lock ) กลับมีแนวความคิดเห็นตรงกันข้ามว่า " มนุษย์โดยธรรมชาติเป็นคนดี ไม่ได้มีความเห็นแก่ตัว ส่วนความไม่ดีนั้นเกิดจากสภาพแวดล้อมของเขา "(กฤษณา ศักดิ์ศรี, 2534 : 94 ) นอกจากนี้แล้วนักสังคมวิทยาเห็นว่า ธรรมชาติของมนุษย์ทั่วไปชอบเรียนรู้ มีความอยากรู้ อยากเห็นอยากดู ชอบที่จะรู้เรื่องของ ผู้อื่นบางคน รู้จักคนอื่นดีกว่าตนเอง เสียอีกเพราะไม่เคยสำรวจตัวเองดูบ้างเลยเพราะโดยทั่วไป คนชอบเรียนรู้เรื่อง ของคนอื่น มากกว่าตนเอง และมีความรู้สึกว่า ตนเองรู้จักผู้อื่นได้ดี แต่ถ้าหากมีคำถามย้อนกลับว่า ตัวท่านเองนั้นรู้จักตัวเองแค่ไหน คนๆ นั้นมักจะโกรธ มิใช่เพราะว่าดูถูก แต่ภายใต้จิตสำนึกนั้น คือความไม่รู้จักตัวเองแล้วทำให้รู้สึกมี ปมด้อยเกิดขึ้น แนวความคิดของนักจิตวิทยากลุ่มจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์ เชื่อว่า คนเรามีลักษณะของความเป็นมนุษย์และสัตว์ผสมอยู่ด้วยกัน และเน้นว่าชีวิตของมนุษย์หล่อหลอมมาจาก ความต้องการทาง ร่างกาย แรงขับทางเพศและสัญชาตญาณของความก้าวร้าว(Id)ซึ่งเป็นส่วนที่พัฒนาขึ้นมาก่อนนักจิตวิเคราะห์กลุ่มนี้ มองมนุษย์ในแง่ของ ความเป็นสัตว์และ ความเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ กล่าวคือ คนเรามีลักษณะเหมือนกับสัตว์ ในแง่ของความต้องการ อาหาร การขับถ่าย และความต้องการ ทางเพศ แต่คนแตกต่างไปจากสัตว์ ในแง่ที่ว่าสามารถจะพัฒนาเทคนิคการสื่อความหมายต่างๆ ในการดำรงชีวิตอยู่ ในสังคม ซึ่งสามารถแยกตนไปจาก เรื่องของ สัญชาตญาณได้ นั่นคือความรู้สึกผิดชอบชั่วดี มีคุณธรรม สามารถครอบคลุมพฤติกรรม อุดมคติ การกระทำของตนเองได้ ทฤษฎีมนุษยนิยมของคาร์ โรเจอร์ส ประวัติของผู้กำเนิดทฤษฎี คาร์ โรเจอร์ส เกิดเมื่อวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1902 เป็นบุตรชายคนที่ 4 มีพี่น้อง 6 คน เกิดที่เมืองโอ็กปาร์ค (Ork Park) รัฐอิลินอยส์ (Illinois) ประเทศสหรัฐอเมริกา เขามาจากครอบครัวที่อบอุ่น มี ความรักใคร่ และใกล้ชิดกันระหว่างพ่อแม่พี่น้อง บิดามารดาของเขาเป็นผู้ที่มี ความสนใจทางการศึกษามาก และเป็นคนที่เคร่งครัดทางศาสนา จึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาของลูกๆ อย่างเต็มที่ พร้อมๆ กับการอบรมให้ลูกๆ ฝักใฝ่ในศาสนาด้วย และเนื่องจากบิดามารดา มี ความระมัดระวังไม่ให้ลูกๆ พบเห็น หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่พึงปรารถนา จึงได้ย้ายครอบครัวไปอยู่ที่ฟาร์ม ทางทิศตะวันตกของชิคาโก ทำให้โรเจอร์ส ได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นในชนบท ที่ถือว่าเป็นช่วงชีวิตที่เต็มไปด้วย ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย จากครอบครัว เขาชอบอ่านหนังสือมากและอ่านหนังสือทุกประเภท และมีผลการเรียนดีเด่นเสมอมา คาร์ โรเจอร์ส สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี ในสาขาประวัติศาสตร์ และปริญญาโทในสาขาศาสนาและจิตวิทยา และปริญญาเอกในสาขา ทางด้านจิตวิทยา ที่มหาวิทยาลัย โคลัมเบีย (Columbis University) ในปี ค.ศ. 1931 ในระหว่างเรียน เขาได้มีโอกาสได้ฝึกงานด้านคลีนิกเกี่ยวกับเด็ก ที่ใช้วิธีการบำบัดของจิตวิเคราะห์ และเมื่อเขาได้มีโอกาสทำจิตบำบัดครั้งแรก ก็พบว่า มี ความขัดแย้งกันระหว่างการบำบัดแบบจิตวิเคราะห์กับ วิธีการศึกษาตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ที่เขาได้ศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เมื่อสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาเอกแล้ว ได้ทำงานเป็นนักจิตวิทยา ณ สถาบันการศึกษาเด็ก เพื่อป้องกันการทารุณกรรมแก่เด็ก ซึ่งเขาได้นำหลักการทางจิตวิทยา ไปใช้ในการช่วยเหลือเด็ก ที่มีปัญหาอย่างจริงจัง และประสบผลสำเร็จอย่างดี ตลอดมา เช่น เด็กเหลือขอ อาชญากรวัยรุ่น เด็กที่ด้อยโอกาส ฯลฯ ในระหว่างปี ค.ศ. 1940 –1945 โรเจอร์ส ได้รับตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์ทางด้านจิตวิทยา และสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยโอไฮโอ (Ohio State University)และในระหว่างปี ค.ศ.1945 – 1957 ได้ย้ายไปสอน ณ มหาวิทยาลัยชิคาโก (University of Chicago) และในช่วงเวลาดังกล่าว โรเจอร์ได้ผลิตผลงานต่างๆ อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีการให้คำปรึกษาเน้นบุคคลเป็นศูนย์กลาง (Person-Centered Counseling) ในระหว่างปี ค.ศ. 1957 – 1963 ได้ย้ายไปสอน ณ มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน (University of Wisconsin) จากนั้น ได้ย้ายไปทำงานที่ศูนย์การศึกษาระดับสูงทางด้านทางพฤติกรรมศาสตร์ ที่แสตนฟอร์ด (Standford) และในปี ค.ศ. 1963 ได้ย้ายไป ทำงานศูนย์การศึกษาเกี่ยวกับบุคคล (Center for Studies of the Person) ที่แคลิฟอร์เนีย ซึ่งเขาได้นำหลักการทางจิตวิทยา มาใช้เพื่อพัฒนาบุคคล ในวงการต่าง เช่น แพทย์การศึกษา อุตสาหกรรม รวมทั้งประชาชนโดยทั่วไป ให้เกิดการพัฒนาบุคลิกภาพที่สมบูรณ์ เขาได้ใช้ชีวิตที่นั่นจนเสียชีวิตเมื่อ ปี ค.ศ. 1986 โรเจอร์ส มีผลงานต่างๆ และได้รับรางวัลทางวิจาการต่างๆ มากมาย ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาได้รับตำแหน่งที่สำคัญๆ ในทางจิตวิทยา อย่างมากมายเช่นเดียวกัน เช่น ประธานสมาคมจิตวิทยาแห่งอเมริกา (American Psychological Association) นอกจากนี้ เขายังได้เขียนบทความ และหนังสือเกี่ยวกับการแนะแนว และจิตบำบัด และบุคลิกภาพไว้มากมายหลาย โรเจอร์สได้ชื่อว่า เป็นนักจิตวิทยามานุษยนิยมที่สำคัญ และเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายอีกท่านหนึ่ง เขาได้รับการยอมรับว่า เป็นผู้ที่ยกระดับวิชาชีพจิตวิทยาให้ได้รับการยอมรับและเชื่อถือจากมหาชน โดยพิสูจน์ให้เห็นประจักษ์ว่า นักจิตวิทยาที่รู้จริง ปฏิบัติจริง ย่อมเป็นผู้ที่มี ความสุข และ ความสำเร็จในชีวิต ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่จะช่วยเหลือผู้ที่มี ความทุกข์ร้อนทางด้านจิตใจ และมีปัญหาทางบุคลิกภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ที่ได้เคยรู้จักกับโรเจอร์ส ต่างก็ยกย่องว่า โรเจอร์สว่า เขาเป็นผู้ที่มีจิตใจเต็มเปี่ยมไปด้วย ความรัก ความเมตตา ต่อเพื่อนมนุษย์ทุกคนอย่างบริสุทธิ์ใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับบุคคลที่ตกอยู่ในห้วงแห่ง ความทุกข์โศก ความสับสนและ ความเดือดเนื้อร้อนใจ ไม่ว่าเด็กและผู้ใหญ่ แม้เพียงได้อยู่ใกล้ๆ ก็ทำให้เขาเหล่านั้น มี ความสบายใจและอบอุ่นใจได้เสมอ ทั้งนี้ เพราะเห็นพลัง ความรักและ ความปรารถนาที่มีต่อเพื่อนมนุษย์และ ความเชื่อของเขาที่มีอยู่ในจิตสำนึกว่า ความทุกข์ของมนุษย์ย่อมมีหนทางแก้ไขได้เสมอ แนวคิดที่สำคัญ โรเจอร์สเชื่อว่า มนุษย์มีธรรมชาติที่ดีมีแรงจูงใจในด้านบวก เป็นผู้ที่มีเหตุผล (Rational) เป็นผู้ที่สามารถได้รับการขัดเกลา (Socialized) สามารถตัดสินใจเลือกวิถีชีวิตของตนเองได้ ถ้ามีอิสระเพียงพอ และมีบรรยากาศที่เอื้ออำนวย ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาตนเองอย่างเต็มศักยภาพ (Full Potential) และพัฒนาไปสู่ทิศทางที่เหมาะสมกับ ความสามารถของแต่ละบุคคล อันจะนำไปสู่การตระหนักรู้ในตนเองอย่างแท้จริง (Self-Actualization) โครงสร้างทางบุคลิกภาพ ของโรเจอร์สประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วนคือ 1. อินทรีย์ (The organism) หมายถึง ทั้งหมดที่เป็นตัวบุคคล รวมถึงส่วนทางร่างกาย หรือทางสรีระของบุคคล (Physical Being) ที่ประกอบด้วย ความคิด ความรู้สึกที่แสดงปฏิกิริยาตอบต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นการแสดงพฤติกรรมทั้งหมดของบุคคล โดยแสดงพฤติกรรมเพื่อตอบสนอง ความต้องการ (Needs) ที่เกิดขึ้นภายในตัวบุคคล และทำให้มนุษย์ มีแรงจูงใจที่จะพัฒนาตนเองไปสู่การรู้จักตนเองอย่างแท้จริง (Self-Actualization) นอกจากนี้ มนุษย์จะแสดงพฤติกรรมโดยการนำเอาประสบการณ์เดิมบางอย่างที่เขาให้ ความหมาย หรือให้ ความสำคัญต่อกับประสบการณ์เดิมบางอย่าง ที่เกิดจากการเรียนรู้ และนำเอาประสบการณ์เหล่านี้มาเป็นสัญลักษณ์ในจิตสำนึกของเขา (Symbolized in the Consciousness) โดยปฏิเสธประสบการณ์บางอย่างดังนั้นผู้ที่มี ความสามารถรับรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้ ความหมายของประสบการณ์ที่ถูกต้องกับ ความเป็นจริงมากที่สุด จะเป็นผู้ที่สามารถพัฒนาได้ตามปกติ (Normal Development) 2. ประสบการณ์ทั้งหมดของบุคคล (Phenomenology Field) ที่เป็นสิ่งที่บุคคลจะรู้เฉพาะตนเท่านั้น และประสบการณ์ของบุคคลนี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มพูนอยู่ตลอดเวลา โรเจอร์สอธิบายว่ามนุษย์อยู่ในโลกของการเปลี่ยนแปลง ที่มีตนเองเป็นศูนย์กลางเป็นประสบการณ์ที่อาจเกิดจากสิ่งเร้าภายนอกและสิ่งเร้าภายในตัวบุคคล สามารถแบ่งออกเป็นประสบการณ์ทั้งส่วนที่เกี่ยวข้องกับจิตสำนึก และจิตใต้สำนึกของบุคคล ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา ทั้งเป็นสิ่งที่สื่อสารได้ และทั้งที่สื่อสารไม่ได้ ซึ่งเป็นพลังกระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรมต่างๆ เช่น เด็กร้องไห้เมื่อเห็นสุนัขอาจเกิดจาก เคยถูกสุนัขกัด หรืออาจเคยถูกข่มขู่ให้กลัวสุนัขจนฝังใจหรือประสบการณ์ที่อยู่ในจิตใต้สำนึกบางอย่าง บุคคลไม่สามารถสื่อสารออกมาได้ เพราะอาจถูกเก็บไว้และซ่อนอยู่ภายในจิตใจจนเจ้าตัวไม่สามารถเข้าใจได้ เป็นลักษณะของเงื่อนปมที่ฝังอยู่ภายในจิตใจ โดยทั่วไปแล้วบุคคลจะให้ ความหมาย และเลือกรับรู้เฉพาะประสบการณ์ที่สำคัญ โรเจอร์ส ให้ ความสำคัญต่อ ความสามารถในการสื่อสารประสบการณ์เฉพาะตนให้กับผู้อื่นสามารถรับรู้ และเข้าใจได้ จะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะนำไปสู่การเข้าใจตนเองของบุคคล ในขณะที่ผู้ที่มี ความแปรปรวนทางอารมณ์และบุคลิกภาพ เกิดจากความไม่สามารถสื่อสารประสบการณ์เฉพาะตนอย่างเหมาะสมได้ 3. ตัวตน ( The Self ) เป็นศูนย์กลางของบุคลิกภาพ ที่เป็นส่วนของการรับรู้ และค่านิยมเกี่ยวกับตัวเรา ตัวตนพัฒนามาจากกการที่อินทรีย์มีปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม เป็นประสบการณ์เฉพาะตน ในการพัฒนาตัวตนของบุคคลนั้น บุคคลจะพบว่า มีบางส่วนที่คล้ายและบางส่วนที่แตกต่างไปจากผู้อื่น ตัวตนเป็นส่วนที่ทำให้พฤติกรรมของบุคคลมี ความคงเส้นคงวา (Consistency) และประสบการณ์ใดที่ช่วยยืนยัน ความคิดรวบยอดของตน (Self-concept) ที่บุคคลมีอยู่ บุคคลจะรับรู้ และผสมผสานประสบการณ์นั้นเข้ามาสู่ตนเองได้อย่างไม่มี ความคับข้องใจ แต่ประสบการณ์ที่ทำให้บุคคลรู้สึกว่าอัตมโนทัศน์ที่มีอยู่เบี่ยงเบนไปจะทำให้บุคคลเกิด ความคับข้องใจที่จะยอมรับประสบการณ์นั้น ความคิดรวบยอดของตนเป็นสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพราะบุคคลจะต้องอยู่ในโลกแห่ง ความเปลี่ยนแปลงโดยมีตัวเอง (Self) เป็นศูนย์กลางในการแสดงพฤติกรรมต่างๆ โรเจอร์ส อธิบายว่า “ตัวตน” ของบุคคลสามารถแบ่งออกเป็นลักษณะต่างๆ ได้แก่ มโนภาพแห่งตน หรือ ความคิดรวบยอดของตน หรือตัวตนตามที่มองเห็น (Self-Concept) เป็นส่วนที่ตนมองเห็นภาพของตนเอง ที่บุคคลมีการรับรู้และมองเห็นตนเองในหลายแง่หลายมุม เช่น “ฉันเป็นคนเก่ง” “ฉันเป็นคนสวย” “ฉันเป็นคนอาภัพ ด้อยวาสนา” “ฉันเป็นคนขี้อาย”เป็นต้น และสิ่งที่บุคคลมองเห็นตัวเองนี้อาจไม่ตรงกับที่ผู้อื่นมองเห็น หรือรับรู้ก็ได้ เช่น ผู้ที่เห็นแก่ตัวและชอบเอาเปรียบผู้อื่น หรือผู้ที่มี ความทะเยอทะยานสูง อาจไม่ทราบว่า ตนเป็นคนเช่นนั้น ตัวตนแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ ตัวตนที่เป็นจริง กับตัวตนตามอุดมคติ ตัวตนตามที่เป็นจริง (Real Self) เป็นลักษณะของบุคคลที่เป็นไปตาม ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งบุคคลอาจรู้ตัวหรือไม่ตัวก็ได้ เช่น “เป็นคนเรียนเก่ง” “เป็นคนสวย” “เป็นคนร่ำรวย” ฯลฯ และพบว่าบ่อยครั้งที่บุคคล จะมองไม่เห็นในส่วนที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของตนเลย ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น แตงกวา มองเห็นว่าเธอเป็นคนเรียนเก่ง กว่าเพื่อนๆ ทั้งๆ ที่ใน ความเป็นจริงแล้ว เธอไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย เธอจึงทำตัวดูถูกเพื่อนๆ ที่เรียนไม่เก่ง และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เธอไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าที่ควร เป็นต้น ตัวตนตามอุดมคติ (Ideal Self) หมายถึง ภาพที่ตนเองอยากจะเป็น ซึ่งหมายถึง บุคคลยังไม่สามารถเป็นได้ในสภาวะปัจจุบันเช่น “น้องแดงอยากเป็นทั้งคนเก่งและคนสวยเหมือนพี่ปุ๋ย” เป็นต้น โรเจอร์สได้อธิบายถึงการทำงานของตัวตนในบุคคลว่า ต้องสอดคล้องกันอย่างเหมาะสม กล่าวคือ มโนภาพแห่งตนของบุคคลจึงต้องมี ความสมเหตุสมผล ตรงกับ ความเป็นจริงและตรงจากประสบการณ์ การที่บุคคลมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม บุคคลที่มีมโนภาพแห่งตนอย่างไร ก็จะมีพฤติกรรมไปตามแนวทางของมโนภาพที่เขามีอยู่ ถ้าบุคคลมีประสบการณ์ที่ทำให้มโนภาพแห่งตนเดิมที่เขามี อยู่ไม่ตรงกับ ความเป็นจริง หรืออาจกล่าวได้ว่า ถ้ามโนภาพแห่งตน ขัดแย้งและไม่สอดคล้อง (Incongruence) กับตนตาม ความเป็นจริงมากเท่าไร บุคคลจะเกิดการป้องกันตนเอง เกิด ความวิตกกังวล และนำไปสู่ปัญหาทางอารมณ์ จิตใจ และบุคลิกภาพมากขึ้นเท่านั้น และนอกจากนี้ ผู้ที่มีมโนภาพแห่งตน สอดคล้องกับตนตาม ความเป็นจริงนั้น ก็มักจะพอใจและมองเห็นตนตามอุดมคติสอดคล้องกันไปด้วยเช่นกัน เพราะเขาจะมี ความรู้สึกพึงพอใจกับตัวตนที่แท้จริงของเขาเสมอ ไม่จำเป็นต้องสร้างภาพตนตามที่ต้องการเป็นขึ้นมา เพราะเขาจะไม่อยากจะเป็นใครอีกนอกจากเป็นตัวเองเท่านั้น จะเป็นผู้ที่มีสุขภาพจิตดีไม่ป้องกันตนเอง ยอมรับการเปลี่ยนแปลง และมีแนวโน้มที่จะพัฒนาไปสู่การรู้จักตัวเองอย่างแท้จริง ยอมรับตนเอง สามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับ ความเป็นจริง มีการรับรู้ต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ กล้าเปิดตนเองออกรับประสบการณ์ใหม่ๆ เลือกตัดสินใจด้วยตนเอง โดยไม่ขึ้นอยู่กับการยอมรับของผู้อื่นและสังคม ตลอดจนเข้าใจในค่านิยมของตนเอง ในขณะที่สามารถยืดหยุ่นต่อสภาพการณ์ต่างๆ โดยไม่ยึดติดอยู่ในค่านิยมของตนอย่างยึดติดเป็นต้น พัฒนาการทางบุคลิกภาพ (Development of Personality) โรเจอร์ส ได้อธิบายถึง กระบวนการพัฒนาการทางบุคลิกภาพว่า มีกระบวนการ 4 ประการดังนี้ 1. กระบวนการพัฒนาการค่านิยม (Organizing Valuing Process) ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า โรเจอร์สเชื่อว่า บุคคลเกิดมา พร้อมพลัง หรือแรงจูงใจ ที่จะพัฒนาตนเองไปสู่สภาวะของการรู้จักตนเองอย่างแท้จริง 2. การยอมรับจากผู้อื่น (Positive Regard from others) จะเห็นได้ว่า ตัวตน (self) ของบุคคล จะเริ่มพัฒนาเมื่อบุคคล มีปฏิกิริยาสัมพันธ์ กับสิ่งแวดล้อม รอบตัวเขา เขาจะรับรู้ ความจริงของสภาพแวดล้อม และนำเอาประสบการณ์ต่าง มาให้ ความหมายต่อการรับรู้เรียกว่า ประสบการณ์แห่งตนเอง (Self-Experience) ปฏิสัมพันธ์ระหว่างตนเอง กับบุคคลที่สำคัญที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมของเขา 3. การยอมรับตนเอง (Self-Regard) บุคคลจะเรียนรู้ที่จะยอมรับตนเองจากการที่เขารับรู้ว่าผู้อื่นแสดงการยอมรับในตัวเขาหรือไม่ อย่างไร โดยไม่คำนึงถึง ความต้องการของตนเอง แต่จะเอา ค่านิยมของผู้อื่นที่มีต่อตัวเขา เป็นเกณฑ์ในการประเมินพฤติกรรมของตนว่า ดีเลว 4. ภาวะของการมีคุณค่า (Conditions or Worth) เป็นลักษณะที่บุคคลรู้สึกว่าตน มีคุณค่า เพราะเขาสามารถยอมรับตนเองได้ โดยมโนภาพแห่งตนที่เขารับรู้สอดคล้องกับ ความเป็นจริง เมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น แต่ถ้ามโนภาพแห่งตนของเขาแตกต่างไปจาก ความจริง จะทำให้เขาเกิด ความวิตกกังวลและปฏิเสธ ไม่ยอมรับตนเองตาม ความเป็นจริง ลักษณะของผู้ทีมีบุคลิกภาพที่สมบูรณ์ (Healthy Personality) ผู้ที่มีบุคลิกที่สมบูรณ์ในทัศนะของโรเจอร์ส จะมีลักษณะต่างๆ ได้แก่ เป็นผู้ที่มี ความสามารถปรับตัวได้ตาม ความเป็นจริง มี ความสอดคล้องระหว่างตัวตนกับประสบการณ์ สามารถเปิดตนเองออกรับประสบการณ์ใหม่ ๆ รับ ความต้องการที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอก ได้ถูกต้องเข้าใจตนเอง สามารถเลือกและตัดสินใจตอบสนอง ความต้องการของตนเองได้ รับรู้เกี่ยวกับตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ มีชีวิตอยู่กับปัจจุบันเป็นตัวของตัวเองสามารถนำเอาประสบการณ์ต่างๆมาพัฒนาตนเอง เชื่อใน ความสามารถของตนเอง ตลอดจนรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง และไม่ตัดสินใจที่จะกระทำสิ่งต่าง ๆ โดยขึ้นอยู่กับการยอมรับหรือการไม่ยอมรับจากผู้อื่น

วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

วิธีผูกเนคไทน์

วิธีผูกเนคไทน์ 4 แบบ...ผมไม่เชื่อว่าตอนนี้ทุกคนยังผูกเนคไทน์ได้อยู่
สมัยเรียนปี 1 ปี 2 จำได้ว่าเคยผูกเนคไทน์ได้ ไม่มีปัญหา จบปีสี่ออกมา ลืมวิธีผูกไปหลายปี ช่วงหางานก้ยังผูกได้อยู่เพราะเพื่อนบางคนยังจำได้ ช่วยกันสอน หลังจากนั้นในช่วงที่ทำงานอยู่ บางที่ก็ไม่ต้องผูกมาทำงาน แต่ถึงจะต้องผูกก็ใช้เนคไทน์ผูกสำเร็จรูปมาตลอด เพราะใช้ง่ายรูดปรึ้ดเดียว คงรูปสวยไปเลย แต่ปัญหามันก็เริ่มเกิดขึ้นเมื่อมีบางวันที่คุณลืมเนคไทน์ มานึกขึ้นได้ก็อยู่บนทางด่วนแล้ว จะประชุมกับผู้หลักผู้ใหญ่ด้วยสิ แต่ยังโชคดีอยู่บ้างที่อาจจะมีเนคไทน์สำรองที่ไม่ได้ใช้นานแล้วอยู่ในรถ แต่ก็เป็นเนคไทน์แบบที่คุณต้องผูกเอง.....ทำไงดีล่ะ เมื่อมันมีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้น อายุปูนนี้แล้วถ้าโทรไปหาเพื่อน เพื่อนมันก็คงขำ วันนี้เลยเอารูปแสดงวิธีผูกเนคไทน์มาฝากกันครับ

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

มคอ.๓ วิชาการพัฒนาบุคลิกภาพ ปีการศึกษา 2/56

รายละเอียดของรายวิชา การพัฒนาบุคลิกภาพ ชื่อสถาบันอุดมศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม วิทยาเขต/คณะ/สาขาวิชา ทุกคณะ/สาขาวิชาและหลักสูตร ณ วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม บางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร หมวดที่ ๑ ข้อมูลโดยทั่วไป ๑. รหัสและชื่อรายวิชา ๙๐๕-๑๐๓ การพัฒนาบุคลิกภาพ (Personality Development) ๒. จำนวนหน่วยกิต ๓ หน่วยกิต (๓-๐-๖) ๓. หลักสูตรและประเภทของรายวิชา คณะ บัญชีบัณฑิต,บริหารธุรกิจบัณฑิต,เทคโนโลยีบัณฑิต สาขาวิชา การบัญชี,คอมพิวเตอร์ธุรกิจ,เทคโนโลยียานยนต์,เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์,เทคโนโลยีไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์,เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ๔. อาจารย์ผู้รับผิดชอบรายวิชาและอาจารย์ผู้สอน กิจสดายุทต์ สังข์ทอง ๕. ภาคการศึกษา / ชั้นปีที่เรียน - ภาคการศึกษาที่ ๒ ชั้นปีที่ ๓ ๖. รายวิชาที่ต้องเรียนมาก่อน (Pre-requisite) (ถ้ามี) -ไม่มี ๗. รายวิชาที่ต้องเรียนพร้อมกัน (Co-requisites) (ถ้ามี) -ไม่มี ๘. สถานที่เรียน วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม ๙. วันที่จัดทำหรือปรับปรุงรายละเอียดของรายวิชาครั้งล่าสุด -ไม่มี หมวดที่ ๒ จุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ ๑. จุดมุ่งหมายของรายวิชา เพื่อให้นักศึกษาได้ศึกษาถึงบุคลิกภาพทั้งภายในและภายนอก ในด้านลักษณะนิสัยส่วนตัว การวางตัวอย่างเหมาะสม การสร้างมนุษย์สัมพันธ์ มารยาททางสังคมวัฒนธรรม และประเพณีไทย วิธีการบำรุงรักษาสุขภาพร่างกายและจิตใจ การดูแลร่างกายส่วนต่าง ๆ การแต่งกายที่เหมาะสม กิริยาท่าทาง ตลอดจนฝึกทักษะการพูดเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพที่ดี ๒. วัตถุประสงค์ในการพัฒนา/ปรับปรุงรายวิชา ๑. เพื่อให้นักศึกษาเห็นความสำคัญของบุคลิกภาพและมีความรู้เกี่ยวกับวิธีการพัฒนาบุคลิกภาพทุกๆ ด้าน ๒. เพื่อให้นักศึกษาสามารถนำความรู้ต่าง ๆ จากการเรียนไปพัฒนาบุคลิกภาพของตนเอง ๓. เพื่อให้นักศึกษาเกิดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและพัฒนาบุคลิกภาพในทางที่ดีขึ้น หมวดที่ ๓ ลักษณะและการดำเนินการ ๑. คำอธิบายรายวิชา ความหมายและความสำคัญของการพัฒนาบุคลิกภาพ ทฤษฎีทางจิตวิทยาเกี่ยวกับการพัฒนาและการประเมินบุคลิกภาพ สุขภาพจิตและการปรับตัว การพัฒนาบุคลิกภาพด้านการแต่งกาย การใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร การคิดสร้างสรรค์ มารยาททางสังคม ความฉลาดทางอารมณ์ การเสริมสร้างมนุษยสัมพันธ์ ความเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี Concepts and importance of personality development, psychological theories of personality development and personality assessment, mental health and adjustment, Personality development in clothing, language for communication, creativity, social etiquette, emotional quotient, human relations, Leadership and followership ๒. จำนวนชั่วโมงที่ใช้ต่อภาคการศึกษา บรรยาย สอนเสริม การฝึกปฏิบัติ/งานภาคสนาม/การฝึกงาน การศึกษาด้วยตนเอง ๔๘ ชั่วโมง สอนเสริมตามความต้องการของนักศึกษาเฉพาะราย - ๖ ชั่วโมง/สัปดาห์ ๓. จำนวนชั่วโมงต่อสัปดาห์ที่อาจารย์ให้คำปรึกษาและแนะนำทางวิชาการแก่นักศึกษาเป็นรายบุคคล - อาจารย์ประจำรายวิชา ประกาศเวลาให้คำปรึกษาผ่านเว็บไซด์ - อาจารย์จัดเวลาให้คำปรึกษาเป็นรายบุคคล หรือ รายกลุ่มตามความต้องการ ๑ ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (เฉพาะรายที่ต้องการ) หมวดที่ ๔ การพัฒนาการเรียนรู้ของนักศึกษา ๑. คุณธรรม จริยธรรม ๑.๑ คุณธรรม จริยธรรมที่ต้องพัฒนา พัฒนานักศึกษาให้มีคุณธรรม จริยธรรมเพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคมอย่างราบรื่นและเป็น ประโยชน์ต่อส่วนรวม โดยผู้เรียนต้องพยายามสอดแทรกเรื่องที่เกี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรม เพื่อให้นักศึกษา สามารถ พัฒนาคุณธรรม จริยธรรมไปพร้อมกับการพัฒนาบุคลิกภาพ โดยมีคุณธรรมจริยธรรมตามคุณสมบัติหลักสูตร ดังนี้ (๑) ตระหนักในคุณค่าและคุณธรรม จริยธรรม เสียสละ และซื่อสัตย์สุจริต (๒) มีวินัย ตรงต่อเวลา และความรับผิดชอบต่อตนเอง วิชาชีพและสังคม (๓)มีภาวะความเป็นผู้นำและผู้ตามสามารถทำงานเป็นทีมและสามารถแก้ไขข้อขัดแย้งและลำดับความสำคัญ (๔) เคารพสิทธิและรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น รวมทั้งเคารพในคุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ (๕) เคารพกฎระเบียบและข้อบังคับต่าง ๆ ขององค์กรและสังคม ๑.๒ วิธีการสอน • บรรยายพร้อมยกตัวอย่างกรณีศึกษาเกี่ยวกับประเด็นทางจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดการคุณภาพ • อภิปรายกลุ่ม • กำหนดให้นักศึกษาหาตัวอย่างที่เกี่ยวข้อง • บทบาทสมมติหรือสถานการณ์จำลอง ๑.๓ วิธีการประเมินผล • พฤติกรรมการเข้าเรียน และส่งงานที่ได้รับมอบหมายตามขอบเขตที่ให้และตรงเวลา • มีการอ้างอิงเอกสารที่ได้นำมาทำรายงาน อย่างถูกต้องและเหมาะสม • ประเมินผลการวิเคราะห์กรณีศึกษา • ประเมินผลการนำเสนอรายงานที่มอบหมาย ๒. ความรู้ ๒.๑ ความรู้ที่ต้องได้รับ ความเข้าใจเกี่ยวกับความรู้เกี่ยวกับบุคลิกภาพ การพัฒนาลักษณะนิสัยและมนุษย์สัมพันธ์ การเสริมสร้างสุขภาพอนามัย มารยาททางสังคม อิริยาบถ การดูแลรูปลักษณ์ การแต่งกาย การพูดต่อชุมชน และการพูดในโอกาสต่าง ๆ การปรับปรุงและเทคนิคการพัฒนาบุคลิกภาพ ๒.๒ วิธีการสอน บรรยาย อภิปราย การทำงานกลุ่ม การนำเสนอรายงาน การวิเคราะห์กรณีศึกษา และมอบหมายให้ค้นคว้าข่าว บทความ ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง โดยนำมาสรุปและนำเสนอ การศึกษาโดยให้แก้ปัญหา และโครงงาน Problem Base Learning และ Student Center เน้นผู้เรียนเป็นจุดศูนย์กลาง ๒.๓ วิธีการประเมินผล • ทดสอบย่อย สอบกลางภาค สอบปลายภาค ด้วยข้อสอบที่เน้นการวัดหลักการและทฤษฎี • นำเสนอสรุปการอ่านจากการค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวข้อง • วิเคราะห์กรณีศึกษา ๓. ทักษะทางปัญญา ๓.๑ ทักษะทางปัญญาที่ต้องพัฒนา พัฒนาความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ มีการวิเคราะห์ เพื่อการพัฒนาบุคลิกภาพ ๓.๒ วิธีการสอน • การมอบหมายให้นักศึกษาทำ และนำเสนอ • อภิปรายเดียว/กลุ่ม • วิเคราะห์กรณีศึกษาเกี่ยวกับบุคลิกภาพบุคคลสำคัญของไทยในปัจจุบัน • การสะท้อนแนวคิดจากการประพฤติ ๓.๓ วิธีการประเมินผล สอบกลางภาคและปลายภาค โดยเน้นข้อสอบที่มีการวิเคราะห์สถานการณ์ หรือวิเคราะห์แนวคิดในด้านการพัฒนาบุคลิกภาพ ๔. ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ ๔.๑ ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบที่ต้องพัฒนา • พัฒนาทักษะในการสร้างสัมพันธภาพระหว่างนิสิตด้วยกัน • พัฒนาความเป็นผู้นำและผู้ตามในการทำงานเป็นทีม • พัฒนาการเรียนรู้ด้วยตนเอง และมีความรับผิดชอบในงานที่มอบหมายให้ครบถ้วนตามกำหนดเวลา ๔.๒ วิธีการสอน • จัดกิจกรรมกลุ่มในการวิเคราะห์กรณีศึกษา • มอบหมายงานรายกลุ่ม และรายบุคคล หรือ อ่านบทความที่เกี่ยวข้องกับรายวิชา • การนำเสนอรายงาน ๔.๓ วิธีการประเมินผล - ประเมินตนเอง และนักศึกษาด้วยกัน ด้วยรูปแบบที่กำหนด - รายงานนำเสนอพฤติกรรมกลุ่ม - บันทึกผลการศึกษาด้วยตนเอง ๕. ทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ๕.๑ ทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ต้องพัฒนา • พัฒนาทักษะในการสื่อสารทั้งการพูด การฟัง การแปล การเขียน โดยการทำรายงาน และนำเสนอในชั้นเรียน • พัฒนาทักษะในการวิเคราะห์ข้อมูลจากกรณีศึกษา • พัฒนาทักษะในการสืบค้น ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต • ทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการสื่อสาร เช่น การส่งงานทาง E-mail การสร้างห้องแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ • ทักษะในการนำเสนอรายงานโดยใช้รูปแบบ เครื่องมือ และเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสม ๕.๒ วิธีการสอน • มอบหมายงานให้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง จาก website สื่อการสอน e-learning และทำรายงาน โดยเน้นการนำตัวเลข หรือมีสถิติอ้างอิง จากแหล่งที่มาข้อมูลที่น่าเชื่อถือ • นำเสนอโดยใช้รูปแบบและเทคโนโลยีที่เหมาะสม ๕.๓ วิธีการประเมินผล • การจัดทำรายงาน และนำเสนอด้วยสื่อเทคโนโลยี • การมีส่วนร่วมในการอภิปราย หมวดที่ ๕ แผนการสอนและการประเมินผล ๑. แผนการสอน สัปดาห์ที่ หัวข้อ/รายละเอียด จำนวนชั่วโมง กิจกรรมการเรียน การสอน สื่อที่ใช้ (ถ้ามี) ผู้สอน ๑ ๒ บทที่ ๑ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการพัฒนาบุคลิกภาพ - ความหมายของบุคลิกภาพ - ลักษณะทั่วไปของบุคลิกภาพ - ขอบข่ายของบุคลิกภาพ - ประโยชน์หรือความสำคัญของการเรียนรู้บุคลิกภาพ - องค์ประกอบและโครงสร้างของบุคลิกภาพ - การพิจารณาบุคลิกภาพ - การเรียนรู้ทางสังคมและการพัฒนาบุคลิกภาพ - ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพ -บุคลิกภาพของบุคคลประกอบด้วยสิ่งต่างๆ ๓ ๓ บรรยาย ยกตัวอย่างประกอบ อภิปรายกลุ่มจากกรณีศึกษา บรรยาย ยกตัวอย่างประกอบ อภิปรายกลุ่มจากกรณีศึกษา อ.กิจสดายุทต์ สังข์ทอง อ.กิจสดายุทต์ สังข์ทอง ๓ บทที่ ๒ การพัฒนาลักษณะนิสัยและมนุษย์สัมพันธ์ -ความหมายการพัฒนาลักษณะนิสัย - ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อลักษณะนิสัย -ประยุกต์ใช้กับตนเอง - แนวทางสำหรับการสร้างทัศนคติที่ดี - วิธีการปรับปรุงบุคลิกภาพโดยสร้างมนุษยสัมพันธ์ - แนวทางการพัฒนานิสัยและมนุษยสัมพันธ์ ๓ บรรยาย ยกตัวอย่างประกอบ อภิปรายกลุ่มจากกรณีศึกษา อ.กิจสดายุทต์ สังข์ทอง ๔ บทที่ ๓ การเสริมสร้างสุขภาพจิตและการปรับตัว -ความแตกต่างของสุขภาพทางกายและสุขภาพทางจิต -ความสำคัญของสุภาพจิต -การสร้างเสริมสุขภาพกายและสุขภาพใจเพื่อบุคลิกภาพที่ดี -ประวัติความเป็นมาของความรู้เรื่องการปรับตัว -การปรับตัว -การสร้างเสริมสุขภาพกายและสุขภาพใจเพื่อบุคลิกภาพที่ดี -ความหมายและความสำคัญในการออกกำลังกาย ๓ บรรยาย ยกตัวอย่างประกอบ อภิปรายกลุ่มจากกรณีศึกษา อ.กิจสดายุทต์ สังข์ทอง ๕. (ทดสอบย่อย และบรรยาย) บทที่ ๔ การแต่งกาย - ความหมายและความสำคัญใขการแต่งกาย - ความแตกต่างระหว่างชายและหญิงในการแต่งกาย -ข้อปฏิบัติในการแต่งกายโดยสรุป -เครื่องแต่งกายชุดไทยพระราชนิยม -การแต่งกายแบบชุดไทยพระราชทาน -การใช้เครื่องประดับ -เครื่องแต่งกายมาตรฐานสุภาพสตรี -เครื่องแต่งกายมาตรฐานสุภาพบุรุษ ๓ บรรยาย ศึกษากรณีศึกษา อภิปราย อ.กิจสดายุทต์ สังข์ทอง ๖ บทที่ ๕ มารยาททางสังคม - ความหมายของมารยาท - มารยาทในการแนะนำให้รู้จักคนอื่น - มารยาทบนโต๊ะอาหาร - มารยาทในภัตตาคาร ๓ บรรยาย ศึกษากรณีศึกษา อภิปราย อ.กิจสดายุทต์ สังข์ทอง ๗ บทที่ ๕ มารยาททางสังคม (ต่อ) -การเลี้ยงอาหารแบบบุฟเฟ่ห์ -การให้ทิป - มารยาทในการแนะนำตัว - ความสำคัญของมารยาท ๓ บรรยาย ศึกษากรณีศึกษา อภิปราย อ.กิจสดายุทต์ สังข์ทอง ๘ สอบกลางภาค (บทที่ 1-5) วันที่ 24 - 28 ธ.ค. 56 ๓ ๙ บทที่ ๖ ความฉลาดทางอารมณ์และความคิดสร้างสรรค์ -อีคิวคืออะไร -แบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ของกรมสุขภาพจิต -อีคิวกับไอคิวมีความแตกต่างกันอย่างไร -ทำไมเราต้องเรียนรู้เรื่งอีคิว -ลักษณะนิสัย 10 ประการของผู้มีระดับคุณภาพอารมณ์สูง -ความฉลาดทางอารมณ์ต่อการทำงาน -ความฉลาดทางอารมณ์กับความรักและครอบครัว -เทคนิคการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ในสถานศึกษา -พุทธศาสนากล่าวถึงความฉลาดทางอารมณ์ -ความหมายของความคิดสร้างสรรค์ -ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ของทอร์แรนซ์ -เทคนิคการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ๓ บรรยาย ศึกษากรณีศึกษา อภิปราย ตัวอย่าง อ.กิจสดายุทต์ สังข์ทอง ๑๐ บทที่ ๗ การดูแลรูปลักษณ์ -ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร -เคล็ดลับการดูแลเท้า -เคล็ดลับการดูแลสุขภาพ - เส้นผมเสริมบุคลิกภาพ -ฝึกหายใจแบบโยคะช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น -เมนูอาหารเพื่อผิวผ่อง -อาหารทำลายผิวพรรณ -ผมร่วงในชายและหญิง -ลมหายใจเหม็น -เส้นผมเสริมบุคลิกภาพ - ผิวพรรณดีมีผลต่อบุคลิกภาพ - ดวงตาคือจุดเด่นของใบหน้า - รักษาปากและฟัน ๓ บรรยาย ศึกษากรณีศึกษา อภิปราย ตัวอย่าง อ.กิจสดายุทต์ สังข์ทอง ๑๑ (ทดสอบย่อย และบรรยาย) บทที่ ๘ ความเป็นผู้นำ และผู้ตามที่ดี -ภาวะผู้นำ -ความหมายผู้ตามและภาวะผู้ตาม -แนวทางการพัฒนาศักยภาพตนเองของผู้ตามที่ดี -ผู้นำแห่งความสำเร็จ ๓ บรรยาย ศึกษากรณีศึกษา อภิปราย ตัวอย่าง อ.กิจสดายุทต์ สังข์ทอง ๑๒ บทที่ ๙ ทฤษฎีบุคลิกภาพและการวัดบุคลิกภาพ - ประเภททฤษฏีบุคลิกภาพ - ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์ - ทฤษฎีของฟรอยด์ยุคใหม่ - ทฤษฎีบุคลิกภาพแบบคุณลักษณะ - ทฤษฎีบุคลิกภาพตามรูปร่างของบุคคล ๓ บรรยาย กรณีศึกษา อภิปราย ตัวอย่างการวิเคราะห์ปัญหา อภิ ปราย การวิเคราะห์ประเด็นจากสถานการณ์จริง อ.กิจสดายุทต์ สังข์ทอง ๑๓ บทที่ ๙ ทฤษฎีบุคลิกภาพและการวัดบุคลิกภาพ (ต่อ) - ทฤษฎีบุคลิกภาพตามรูปร่างของบุคค - ทฤษฎีบุคลิกภาพแบบมนุษยนิยม - ทฤษฎีบุคลิกภาพของแอคเลอร์ -การพัฒนาบุคลิกภาพ ๓ บรรยาย ศึกษากรณี ศึกษา อภิปราย ตัวอย่างการวิเคราะห์ปัญหา อภิ ปราย การวิเคราะห์ประเด็นจากสถานการณ์จริง อ.กิจสดายุทต์ สังข์ทอง ๑๔ บทที่ ๙ ทฤษฎีบุคลิกภาพและการวัดบุคลิกภาพ (ต่อ) -บุคลิกภาพกับความสำเร็จ - บุคลิกภาพกับการนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงาน - ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงทางสังคม -ความหมายของ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม ๓ บรรยาย ศึกษากรณี ศึกษา อภิปราย ตัวอย่างการวิเคราะห์ปัญหา อภิ ปราย การวิเคราะห์ประเด็นจากสถานการณ์จริง อ.กิจสดายุทต์ สังข์ทอง ๑๕ บทที่ ๑๐ การใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร -ภาษา -หลักการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร -คำ/ความหมายของคำ -หลักการสื่อสารในชีวิตประจำวัน ๓ บรรยาย กรณี ศึกษา อภิปราย ตัวอย่างการวิเคราะห์ปัญหา ถาม-ตอบ อ.กิจสดายุทต์ สังข์ทอง ๑๖ สอบปลายภาค (บทที6-10) วันที่ 18-22 ก.พ. 57 ๓ ๒ แผนการประเมินผลการเรียนรู้ ที่ วิธีการประเมิน สัปดาห์ที่ประเมิน สัดส่วนของการประเมินผล ๑ สอบกลางภาค ๓๐ สอบปลายภาค ๘ ๓๐ ๒ วิเคราะห์กรณีศึกษา ค้นคว้า การนำเสนอรายงาน การทำงานเดียว/กลุ่มและผลงาน การอ่านและสรุปบทความ การส่งงานตามที่มอบหมาย ทดสอบเก็บคะแนน ตลอดภาคการศึกษา ๓๐ ๓ การเข้าชั้นเรียน ,การมีส่วนร่วม อภิปราย เสนอความคิดเห็นในชั้นเรียน ตลอดภาคการศึกษา ๑๐ หมวดที่ ๖ ทรัพยากรประกอบการเรียนการสอน ๑. เอกสารและตำราหลัก -กิ่งแก้ว ทรัพย์พระวงศ์. ผศ. บุคลิกภาพและการปรับตัว. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ๒๕๕๒. -ฉันทนิช อัศวนนท์. ปบ.กศ.บ. เทคนิคและการพัฒนาบุคลิกภาพ. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ ศูนย์ส่งเสริมวิชาการ, ๒๕๕๒. -พิมลวรรณ เชื้อบางแก้ว. ผศ. การพัฒนาบุคลิกภาพ กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ, ๒๕๕๒. -ฤดี หลิมไพโรจน์. ผศ. การพัฒนาบุคลิกภาพ กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ๒๕๕๒. -สถิต วงศ์สวรรค์ รศ. การพัฒนาบุคลิกภาพ. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์บริษัทธเนศวร พริ้นติ้ง (๑๙๙๙) จำกัด, ๒๕๔๘. ๒. เอกสารและข้อมูลสำคัญ - ไม่มี ๓. เอกสารและข้อมูลแนะนำ -เอกสารประกอบการสอนวิชาการพัฒนาบุคลิกภาพ หมวดที่ ๗ การประเมินและปรับปรุงการดำเนินการของรายวิชา ๑. กลยุทธ์การประเมินประสิทธิผลของรายวิชาโดยนักศึกษา การประเมินประสิทธิผลในรายวิชานี้ ที่จัดทำโดยนักศึกษา ได้จัดกิจกรรมในการนำแนวคิดและความเห็นจากนักศึกษาได้ดังนี้ • การสนทนากลุ่มระหว่างผู้สอนและนักศึกษา • การสังเกตการณ์จากพฤติกรรมของนักศึกษา • แบบประเมินผู้สอน และแบบประเมินรายวิชา • ข้อเสนอแนะผ่านเว็บบอร์ด ที่อาจารย์ผู้สอนได้จัดทำเป็นช่องทางการสื่อสารกับนักศึกษา ๒. กลยุทธ์การประเมินการสอน ในการเก็บข้อมูลเพื่อประเมินการสอน ได้มีกลยุทธ์ ดังนี้ • การสังเกตการณ์สอนจากคณาจารย์ • ผลการสอบ • การทวนสอบผลประเมินการเรียนรู้ ๓. การปรับปรุงการสอน หลังจากผลการประเมินการสอนในข้อ ๒ จึงมีการปรับปรุงการสอน โดยการจัดกิจกรรมในการระดมสมอง และหาข้อมูลเพิ่มเติมในการปรับปรุงการสอน ดังนี้ • สัมมนาการจัดการเรียนการสอน • การวิจัยในและนอกชั้นเรียน ๔. การทวนสอบมาตรฐานผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษาในรายวิชา ในระหว่างกระบวนการสอนรายวิชา มีการทวนสอบผลสัมฤทธิ์ในรายหัวข้อ ตามที่คาดหวังจากการเรียนรู้ในวิชา ได้จาก การสอบถามนักศึกษา หรือการสุ่มตรวจผลงานของนักศึกษา รวมถึงพิจารณาจากผลการทดสอบย่อย และหลังการออกผลการเรียนรายวิชา มีการทวนสอบผลสัมฤทธิ์โดยรวมในวิชาได้ดังนี้ • ให้นักศึกษาได้มีโอกาสตรวจสอบคะแนนและเกรดก่อนส่งเกรดให้สำนักทะเบียนและประมวลผล • มีการตั้งคณะกรรมการในสาขาวิชา ตรวจสอบผลการประเมินการเรียนรู้ของนิสิต โดยตรวจสอบข้อสอบ รายงาน วิธีการให้คะแนนสอบ และการให้คะแนนพฤติกรรม ๕. การดำเนินการทบทวนและการวางแผนปรับปรุงประสิทธิผลของรายวิชา จากผลการประเมิน และทวนสอบผลสัมฤทธิ์ประสิทธิผลรายวิชา ได้มีการวางแผนการปรับปรุงการสอน และรายละเอียดวิชา เพื่อให้เกิดคุณภาพมากขึ้น ดังนี้ • ปรับปรุงรายวิชาทุก ๓ ปี หรือตามข้อเสนอแนะและผลการทวนสอบมาตรฐานผลสัมฤทธิ์ตามข้อ ๔ • นำผลที่ได้จากาการสอบถามความคิดเห็น คะแนนสอบของนักศึกษา การประชุมสัมมนา นำมาสรุปผลและพัฒนารายวิชาก่อนการสอนในภาคการศึกษาหน้า

วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

มคอ.3 การพัฒนาบุคลิกภาพ(Personality Development)

รายละเอียดของรายวิชา การพัฒนาบุคลิกภาพ ชื่อสถาบันอุดมศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม วิทยาเขต/คณะ/สาขาวิชา ทุกคณะ/สาขาวิชาและหลักสูตร ณ วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม บางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร หมวดที่ ๑ ข้อมูลโดยทั่วไป ๑. รหัสและชื่อรายวิชา ๙๐๕-๑๐๓ การพัฒนาบุคลิกภาพ (Personality Development) ๒. จำนวนหน่วยกิต ๓ หน่วยกิต (๓-๐-๖) ๓. หลักสูตรและประเภทของรายวิชา คณะ บัญชีบัณฑิต,บริหารธุรกิจบัณฑิต,เทคโนโลยีบัณฑิต สาขาวิชา การบัญชี,คอมพิวเตอร์ธุรกิจ,เทคโนโลยียานยนต์,เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์,เทคโนโลยีไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์,เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ๔. อาจารย์ผู้รับผิดชอบรายวิชาและอาจารย์ผู้สอน กิจสดายุทต์ สังข์ทอง ๕. ภาคการศึกษา / ชั้นปีที่เรียน - ภาคการศึกษาที่ ๒ ชั้นปีที่ ๓ ๖. รายวิชาที่ต้องเรียนมาก่อน (Pre-requisite) (ถ้ามี) -ไม่มี ๗. รายวิชาที่ต้องเรียนพร้อมกัน (Co-requisites) (ถ้ามี) -ไม่มี ๘. สถานที่เรียน วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม ๙. วันที่จัดทำหรือปรับปรุงรายละเอียดของรายวิชาครั้งล่าสุด -ไม่มี หมวดที่ ๒ จุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ ๑. จุดมุ่งหมายของรายวิชา เพื่อให้นักศึกษาได้ศึกษาถึงบุคลิกภาพทั้งภายในและภายนอก ในด้านลักษณะนิสัยส่วนตัว การวางตัวอย่างเหมาะสม การสร้างมนุษย์สัมพันธ์ มารยาททางสังคมวัฒนธรรม และประเพณีไทย วิธีการบำรุงรักษาสุขภาพร่างกายและจิตใจ การดูแลร่างกายส่วนต่าง ๆ การแต่งกายที่เหมาะสม กิริยาท่าทาง ตลอดจนฝึกทักษะการพูดเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพที่ดี ๒. วัตถุประสงค์ในการพัฒนา/ปรับปรุงรายวิชา ๑. เพื่อให้นักศึกษาเห็นความสำคัญของบุคลิกภาพและมีความรู้เกี่ยวกับวิธีการพัฒนาบุคลิกภาพทุกๆ ด้าน ๒. เพื่อให้นักศึกษาสามารถนำความรู้ต่าง ๆ จากการเรียนไปพัฒนาบุคลิกภาพของตนเอง ๓. เพื่อให้นักศึกษาเกิดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและพัฒนาบุคลิกภาพในทางที่ดีขึ้น หมวดที่ ๓ ลักษณะและการดำเนินการ ๑. คำอธิบายรายวิชา ความหมายและความสำคัญของการพัฒนาบุคลิกภาพ ทฤษฎีทางจิตวิทยาเกี่ยวกับการพัฒนาและการประเมินบุคลิกภาพ สุขภาพจิตและการปรับตัว การพัฒนาบุคลิกภาพด้านการแต่งกาย การใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร การคิดสร้างสรรค์ มารยาททางสังคม ความฉลาดทางอารมณ์ การเสริมสร้างมนุษยสัมพันธ์ ความเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี Concepts and importance of personality development, psychological theories of personality development and personality assessment, mental health and adjustment, Personality development in clothing, language for communication, creativity, social etiquette, emotional quotient, human relations, Leadership and followership ๒. จำนวนชั่วโมงที่ใช้ต่อภาคการศึกษา บรรยาย สอนเสริม การฝึกปฏิบัติ/งานภาคสนาม/การฝึกงาน การศึกษาด้วยตนเอง ๔๘ ชั่วโมง สอนเสริมตามความต้องการของนักศึกษาเฉพาะราย - ๖ ชั่วโมง/สัปดาห์ ๓. จำนวนชั่วโมงต่อสัปดาห์ที่อาจารย์ให้คำปรึกษาและแนะนำทางวิชาการแก่นักศึกษาเป็นรายบุคคล - อาจารย์ประจำรายวิชา ประกาศเวลาให้คำปรึกษาผ่านเว็บไซด์ - อาจารย์จัดเวลาให้คำปรึกษาเป็นรายบุคคล หรือ รายกลุ่มตามความต้องการ ๑ ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (เฉพาะรายที่ต้องการ) หมวดที่ ๔ การพัฒนาการเรียนรู้ของนักศึกษา ๑. คุณธรรม จริยธรรม ๑.๑ คุณธรรม จริยธรรมที่ต้องพัฒนา พัฒนานักศึกษาให้มีคุณธรรม จริยธรรมเพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคมอย่างราบรื่นและเป็น ประโยชน์ต่อส่วนรวม โดยผู้เรียนต้องพยายามสอดแทรกเรื่องที่เกี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรม เพื่อให้นักศึกษา สามารถ พัฒนาคุณธรรม จริยธรรมไปพร้อมกับการพัฒนาบุคลิกภาพ โดยมีคุณธรรมจริยธรรมตามคุณสมบัติหลักสูตร ดังนี้ (๑) ตระหนักในคุณค่าและคุณธรรม จริยธรรม เสียสละ และซื่อสัตย์สุจริต (๒) มีวินัย ตรงต่อเวลา และความรับผิดชอบต่อตนเอง วิชาชีพและสังคม (๓)มีภาวะความเป็นผู้นำและผู้ตามสามารถทำงานเป็นทีมและสามารถแก้ไขข้อขัดแย้งและลำดับความสำคัญ (๔) เคารพสิทธิและรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น รวมทั้งเคารพในคุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ (๕) เคารพกฎระเบียบและข้อบังคับต่าง ๆ ขององค์กรและสังคม ๑.๒ วิธีการสอน • บรรยายพร้อมยกตัวอย่างกรณีศึกษาเกี่ยวกับประเด็นทางจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดการคุณภาพ • อภิปรายกลุ่ม • กำหนดให้นักศึกษาหาตัวอย่างที่เกี่ยวข้อง • บทบาทสมมติหรือสถานการณ์จำลอง ๑.๓ วิธีการประเมินผล • พฤติกรรมการเข้าเรียน และส่งงานที่ได้รับมอบหมายตามขอบเขตที่ให้และตรงเวลา • มีการอ้างอิงเอกสารที่ได้นำมาทำรายงาน อย่างถูกต้องและเหมาะสม • ประเมินผลการวิเคราะห์กรณีศึกษา • ประเมินผลการนำเสนอรายงานที่มอบหมาย ๒. ความรู้ ๒.๑ ความรู้ที่ต้องได้รับ ความเข้าใจเกี่ยวกับความรู้เกี่ยวกับบุคลิกภาพ การพัฒนาลักษณะนิสัยและมนุษย์สัมพันธ์ การเสริมสร้างสุขภาพอนามัย มารยาททางสังคม อิริยาบถ การดูแลรูปลักษณ์ การแต่งกาย การพูดต่อชุมชน และการพูดในโอกาสต่าง ๆ การปรับปรุงและเทคนิคการพัฒนาบุคลิกภาพ ๒.๒ วิธีการสอน บรรยาย อภิปราย การทำงานกลุ่ม การนำเสนอรายงาน การวิเคราะห์กรณีศึกษา และมอบหมายให้ค้นคว้าข่าว บทความ ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง โดยนำมาสรุปและนำเสนอ การศึกษาโดยให้แก้ปัญหา และโครงงาน Problem Base Learning และ Student Center เน้นผู้เรียนเป็นจุดศูนย์กลาง ๒.๓ วิธีการประเมินผล • ทดสอบย่อย สอบกลางภาค สอบปลายภาค ด้วยข้อสอบที่เน้นการวัดหลักการและทฤษฎี • นำเสนอสรุปการอ่านจากการค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวข้อง • วิเคราะห์กรณีศึกษา ๓. ทักษะทางปัญญา ๓.๑ ทักษะทางปัญญาที่ต้องพัฒนา พัฒนาความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ มีการวิเคราะห์ เพื่อการพัฒนาบุคลิกภาพ ๓.๒ วิธีการสอน • การมอบหมายให้นักศึกษาทำ และนำเสนอ • อภิปรายเดียว/กลุ่ม • วิเคราะห์กรณีศึกษาเกี่ยวกับบุคลิกภาพบุคคลสำคัญของไทยในปัจจุบัน • การสะท้อนแนวคิดจากการประพฤติ ๓.๓ วิธีการประเมินผล สอบกลางภาคและปลายภาค โดยเน้นข้อสอบที่มีการวิเคราะห์สถานการณ์ หรือวิเคราะห์แนวคิดในด้านการพัฒนาบุคลิกภาพ ๔. ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ ๔.๑ ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบที่ต้องพัฒนา • พัฒนาทักษะในการสร้างสัมพันธภาพระหว่างนิสิตด้วยกัน • พัฒนาความเป็นผู้นำและผู้ตามในการทำงานเป็นทีม • พัฒนาการเรียนรู้ด้วยตนเอง และมีความรับผิดชอบในงานที่มอบหมายให้ครบถ้วนตามกำหนดเวลา ๔.๒ วิธีการสอน • จัดกิจกรรมกลุ่มในการวิเคราะห์กรณีศึกษา • มอบหมายงานรายกลุ่ม และรายบุคคล หรือ อ่านบทความที่เกี่ยวข้องกับรายวิชา • การนำเสนอรายงาน ๔.๓ วิธีการประเมินผล - ประเมินตนเอง และนักศึกษาด้วยกัน ด้วยรูปแบบที่กำหนด - รายงานนำเสนอพฤติกรรมกลุ่ม - บันทึกผลการศึกษาด้วยตนเอง ๕. ทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ๕.๑ ทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ต้องพัฒนา • พัฒนาทักษะในการสื่อสารทั้งการพูด การฟัง การแปล การเขียน โดยการทำรายงาน และนำเสนอในชั้นเรียน • พัฒนาทักษะในการวิเคราะห์ข้อมูลจากกรณีศึกษา • พัฒนาทักษะในการสืบค้น ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต • ทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการสื่อสาร เช่น การส่งงานทาง E-mail การสร้างห้องแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ • ทักษะในการนำเสนอรายงานโดยใช้รูปแบบ เครื่องมือ และเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสม ๕.๒ วิธีการสอน • มอบหมายงานให้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง จาก website สื่อการสอน e-learning และทำรายงาน โดยเน้นการนำตัวเลข หรือมีสถิติอ้างอิง จากแหล่งที่มาข้อมูลที่น่าเชื่อถือ • นำเสนอโดยใช้รูปแบบและเทคโนโลยีที่เหมาะสม ๕.๓ วิธีการประเมินผล • การจัดทำรายงาน และนำเสนอด้วยสื่อเทคโนโลยี • การมีส่วนร่วมในการอภิปราย หมวดที่ ๕ แผนการสอนและการประเมินผล ๑. แผนการสอน สัปดาห์ที่ หัวข้อ/รายละเอียด จำนวนชั่วโมง กิจกรรมการเรียน การสอน สื่อที่ใช้ (ถ้ามี) ผู้สอน ๑ ๒ บทที่ ๑ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการพัฒนาบุคลิกภาพ - ความหมายของบุคลิกภาพ - ลักษณะทั่วไปของบุคลิกภาพ - ขอบข่ายของบุคลิกภาพ - ประโยชน์หรือความสำคัญของการเรียนรู้บุคลิกภาพ - องค์ประกอบและโครงสร้างของบุคลิกภาพ - การพิจารณาบุคลิกภาพ - การเรียนรู้ทางสังคมและการพัฒนาบุคลิกภาพ - ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพ -บุคลิกภาพของบุคคลประกอบด้วยสิ่งต่างๆ ๓ ๓ บรรยาย ยกตัวอย่างประกอบ อภิปรายกลุ่มจากกรณีศึกษา บรรยาย ยกตัวอย่างประกอบ อภิปรายกลุ่มจากกรณีศึกษา อ.กิจสดายุทต์ สังข์ทอง อ.กิจสดายุทต์ สังข์ทอง ๓ บทที่ ๒ การพัฒนาลักษณะนิสัยและมนุษย์สัมพันธ์ -ความหมายการพัฒนาลักษณะนิสัย - ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อลักษณะนิสัย -ประยุกต์ใช้กับตนเอง - แนวทางสำหรับการสร้างทัศนคติที่ดี - วิธีการปรับปรุงบุคลิกภาพโดยสร้างมนุษยสัมพันธ์ - แนวทางการพัฒนานิสัยและมนุษยสัมพันธ์ ๓ บรรยาย ยกตัวอย่างประกอบ อภิปรายกลุ่มจากกรณีศึกษา อ.กิจสดายุทต์ สังข์ทอง ๔ บทที่ ๓ การเสริมสร้างสุขภาพจิตและการปรับตัว -ความแตกต่างของสุขภาพทางกายและสุขภาพทางจิต -ความสำคัญของสุภาพจิต -การสร้างเสริมสุขภาพกายและสุขภาพใจเพื่อบุคลิกภาพที่ดี -ประวัติความเป็นมาของความรู้เรื่องการปรับตัว -การปรับตัว -การสร้างเสริมสุขภาพกายและสุขภาพใจเพื่อบุคลิกภาพที่ดี -ความหมายและความสำคัญในการออกกำลังกาย ๓ บรรยาย ยกตัวอย่างประกอบ อภิปรายกลุ่มจากกรณีศึกษา อ.กิจสดายุทต์ สังข์ทอง ๕. (ทดสอบย่อย และบรรยาย) บทที่ ๔ การแต่งกาย - ความหมายและความสำคัญใขการแต่งกาย - ความแตกต่างระหว่างชายและหญิงในการแต่งกาย -ข้อปฏิบัติในการแต่งกายโดยสรุป -เครื่องแต่งกายชุดไทยพระราชนิยม -การแต่งกายแบบชุดไทยพระราชทาน -การใช้เครื่องประดับ -เครื่องแต่งกายมาตรฐานสุภาพสตรี -เครื่องแต่งกายมาตรฐานสุภาพบุรุษ ๓ บรรยาย ศึกษากรณีศึกษา อภิปราย อ.กิจสดายุทต์ สังข์ทอง ๖ บทที่ ๕ มารยาททางสังคม - ความหมายของมารยาท - มารยาทในการแนะนำให้รู้จักคนอื่น - มารยาทบนโต๊ะอาหาร - มารยาทในภัตตาคาร ๓ บรรยาย ศึกษากรณีศึกษา อภิปราย อ.กิจสดายุทต์ สังข์ทอง ๗ บทที่ ๕ มารยาททางสังคม (ต่อ) -การเลี้ยงอาหารแบบบุฟเฟ่ห์ -การให้ทิป - มารยาทในการแนะนำตัว - ความสำคัญของมารยาท ๓ บรรยาย ศึกษากรณีศึกษา อภิปราย อ.กิจสดายุทต์ สังข์ทอง ๘ สอบกลางภาค (บทที่ 1-5) ๓ ๙ บทที่ ๖ ความฉลาดทางอารมณ์และความคิดสร้างสรรค์ -อีคิวคืออะไร -แบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ของกรมสุขภาพจิต -อีคิวกับไอคิวมีความแตกต่างกันอย่างไร -ทำไมเราต้องเรียนรู้เรื่งอีคิว -ลักษณะนิสัย 10 ประการของผู้มีระดับคุณภาพอารมณ์สูง -ความฉลาดทางอารมณ์ต่อการทำงาน -ความฉลาดทางอารมณ์กับความรักและครอบครัว -เทคนิคการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ในสถานศึกษา -พุทธศาสนากล่าวถึงความฉลาดทางอารมณ์ -ความหมายของความคิดสร้างสรรค์ -ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ของทอร์แรนซ์ -เทคนิคการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ๓ บรรยาย ศึกษากรณีศึกษา อภิปราย ตัวอย่าง อ.กิจสดายุทต์ สังข์ทอง ๑๐ บทที่ ๗ การดูแลรูปลักษณ์ -ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร -เคล็ดลับการดูแลเท้า -เคล็ดลับการดูแลสุขภาพ - เส้นผมเสริมบุคลิกภาพ -ฝึกหายใจแบบโยคะช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น -เมนูอาหารเพื่อผิวผ่อง -อาหารทำลายผิวพรรณ -ผมร่วงในชายและหญิง -ลมหายใจเหม็น -เส้นผมเสริมบุคลิกภาพ - ผิวพรรณดีมีผลต่อบุคลิกภาพ - ดวงตาคือจุดเด่นของใบหน้า - รักษาปากและฟัน ๓ บรรยาย ศึกษากรณีศึกษา อภิปราย ตัวอย่าง อ.กิจสดายุทต์ สังข์ทอง ๑๑ (ทดสอบย่อย และบรรยาย) บทที่ ๘ ความเป็นผู้นำ และผู้ตามที่ดี -ภาวะผู้นำ -ความหมายผู้ตามและภาวะผู้ตาม -แนวทางการพัฒนาศักยภาพตนเองของผู้ตามที่ดี -ผู้นำแห่งความสำเร็จ ๓ บรรยาย ศึกษากรณีศึกษา อภิปราย ตัวอย่าง อ.กิจสดายุทต์ สังข์ทอง อ.กิจสดายุทต์ สังข์ทอง ๑๒ บทที่ ๙ ทฤษฎีบุคลิกภาพและการวัดบุคลิกภาพ - ประเภททฤษฏีบุคลิกภาพ - ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์ - ทฤษฎีของฟรอยด์ยุคใหม่ - ทฤษฎีบุคลิกภาพแบบคุณลักษณะ - ทฤษฎีบุคลิกภาพตามรูปร่างของบุคคล ๓ บรรยาย กรณีศึกษา อภิปราย ตัวอย่างการวิเคราะห์ปัญหา อภิ ปราย การวิเคราะห์ประเด็นจากสถานการณ์จริง อ.กิจสดายุทต์ สังข์ทอง ๑๓ บทที่ ๙ ทฤษฎีบุคลิกภาพและการวัดบุคลิกภาพ (ต่อ) - ทฤษฎีบุคลิกภาพตามรูปร่างของบุคค - ทฤษฎีบุคลิกภาพแบบมนุษยนิยม - ทฤษฎีบุคลิกภาพของแอคเลอร์ -การพัฒนาบุคลิกภาพ ๓ บรรยาย ศึกษากรณี ศึกษา อภิปราย ตัวอย่างการวิเคราะห์ปัญหา อภิ ปราย การวิเคราะห์ประเด็นจากสถานการณ์จริง อ.กิจสดายุทต์ สังข์ทอง ๑๔ บทที่ ๙ ทฤษฎีบุคลิกภาพและการวัดบุคลิกภาพ (ต่อ) -บุคลิกภาพกับความสำเร็จ - บุคลิกภาพกับการนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงาน - ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงทางสังคม -ความหมายของ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม ๓ บรรยาย ศึกษากรณี ศึกษา อภิปราย ตัวอย่างการวิเคราะห์ปัญหา อภิ ปราย การวิเคราะห์ประเด็นจากสถานการณ์จริง อ.กิจสดายุทต์ สังข์ทอง ๑๕ บทที่ ๑๐ การใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร -ภาษา -หลักการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร -คำ/ความหมายของคำ -หลักการสื่อสารในชีวิตประจำวัน ๓ บรรยาย กรณี ศึกษา อภิปราย ตัวอย่างการวิเคราะห์ปัญหา ถาม-ตอบ อ.กิจสดายุทต์ สังข์ทอง ๑๖ สอบปลายภาค (บทที6-10) ๓ ๒ แผนการประเมินผลการเรียนรู้ ที่ วิธีการประเมิน สัปดาห์ที่ประเมิน สัดส่วนของการประเมินผล ๑ สอบกลางภาค สอบปลายภาค ๘ ๑๖ ๓๐% ๓๐% ๒ วิเคราะห์กรณีศึกษา ค้นคว้า การนำเสนอรายงาน การทำงานเดียว/กลุ่มและผลงาน การอ่านและสรุปบทความ การส่งงานตามที่มอบหมาย ทดสอบเก็บคะแนน ตลอดภาคการศึกษา ๓๐% ๓ การเข้าชั้นเรียน ,การมีส่วนร่วม อภิปราย เสนอความคิดเห็นในชั้นเรียน ตลอดภาคการศึกษา ๑๐% หมวดที่ ๖ ทรัพยากรประกอบการเรียนการสอน ๑. เอกสารและตำราหลัก -กิ่งแก้ว ทรัพย์พระวงศ์. ผศ. บุคลิกภาพและการปรับตัว. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ๒๕๕๒. -ฉันทนิช อัศวนนท์. ปบ.กศ.บ. เทคนิคและการพัฒนาบุคลิกภาพ. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ ศูนย์ส่งเสริมวิชาการ, ๒๕๕๒. -พิมลวรรณ เชื้อบางแก้ว. ผศ. การพัฒนาบุคลิกภาพ กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ, ๒๕๕๒. -ฤดี หลิมไพโรจน์. ผศ. การพัฒนาบุคลิกภาพ กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ๒๕๕๒. -สถิต วงศ์สวรรค์ รศ. การพัฒนาบุคลิกภาพ. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์บริษัทธเนศวร พริ้นติ้ง (๑๙๙๙) จำกัด, ๒๕๔๘. ๒. เอกสารและข้อมูลสำคัญ - ไม่มี ๓. เอกสารและข้อมูลแนะนำ -เอกสารประกอบการสอนวิชาการพัฒนาบุคลิกภาพ หมวดที่ ๗ การประเมินและปรับปรุงการดำเนินการของรายวิชา ๑. กลยุทธ์การประเมินประสิทธิผลของรายวิชาโดยนักศึกษา การประเมินประสิทธิผลในรายวิชานี้ ที่จัดทำโดยนักศึกษา ได้จัดกิจกรรมในการนำแนวคิดและความเห็นจากนักศึกษาได้ดังนี้ • การสนทนากลุ่มระหว่างผู้สอนและนักศึกษา • การสังเกตการณ์จากพฤติกรรมของนักศึกษา • แบบประเมินผู้สอน และแบบประเมินรายวิชา • ข้อเสนอแนะผ่านเว็บบอร์ด ที่อาจารย์ผู้สอนได้จัดทำเป็นช่องทางการสื่อสารกับนักศึกษา ๒. กลยุทธ์การประเมินการสอน ในการเก็บข้อมูลเพื่อประเมินการสอน ได้มีกลยุทธ์ ดังนี้ • การสังเกตการณ์สอนจากคณาจารย์ • ผลการสอบ • การทวนสอบผลประเมินการเรียนรู้ ๓. การปรับปรุงการสอน หลังจากผลการประเมินการสอนในข้อ ๒ จึงมีการปรับปรุงการสอน โดยการจัดกิจกรรมในการระดมสมอง และหาข้อมูลเพิ่มเติมในการปรับปรุงการสอน ดังนี้ • สัมมนาการจัดการเรียนการสอน • การวิจัยในและนอกชั้นเรียน ๔. การทวนสอบมาตรฐานผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษาในรายวิชา ในระหว่างกระบวนการสอนรายวิชา มีการทวนสอบผลสัมฤทธิ์ในรายหัวข้อ ตามที่คาดหวังจากการเรียนรู้ในวิชา ได้จาก การสอบถามนักศึกษา หรือการสุ่มตรวจผลงานของนักศึกษา รวมถึงพิจารณาจากผลการทดสอบย่อย และหลังการออกผลการเรียนรายวิชา มีการทวนสอบผลสัมฤทธิ์โดยรวมในวิชาได้ดังนี้ • ให้นักศึกษาได้มีโอกาสตรวจสอบคะแนนและเกรดก่อนส่งเกรดให้สำนักทะเบียนและประมวลผล • มีการตั้งคณะกรรมการในสาขาวิชา ตรวจสอบผลการประเมินการเรียนรู้ของนิสิต โดยตรวจสอบข้อสอบ รายงาน วิธีการให้คะแนนสอบ และการให้คะแนนพฤติกรรม ๕. การดำเนินการทบทวนและการวางแผนปรับปรุงประสิทธิผลของรายวิชา จากผลการประเมิน และทวนสอบผลสัมฤทธิ์ประสิทธิผลรายวิชา ได้มีการวางแผนการปรับปรุงการสอน และรายละเอียดวิชา เพื่อให้เกิดคุณภาพมากขึ้น ดังนี้ • ปรับปรุงรายวิชาทุก ๓ ปี หรือตามข้อเสนอแนะและผลการทวนสอบมาตรฐานผลสัมฤทธิ์ตามข้อ ๔ • นำผลที่ได้จากาการสอบถามความคิดเห็น คะแนนสอบของนักศึกษา การประชุมสัมมนา นำมาสรุปผลและพัฒนารายวิชาก่อนการสอนในภาคการศึกษาหน้า