วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2557

บทที่ 7 การดูแลรูปลักษณ์

การดูแลรูปลักษณ์ ผิวพรรณดี กับบุคลิกดี เพราะ เป็นสิ่งที่สังคมสมัยใหม่ต้องการ และดูจะเป็นเหตุผลสำคัญ ของการเจริญเติบโตในธุรกิจความงาม เพราะผู้บริโภคหรือประชาชนตระหนักดีในข้อนี้ และถือเป็นการลงทุนที่ทำให้ได้งานง่ายและเงินเดือนดี ในสังคมธุรกิจบริการแต่ผู้ให้การบริการเองก็ต้องมีผิวพรรณดี และบุคลิกดีด้วย ไม่อย่างนั้นผู้บริโภคส่วนใหญ่จะไม่เชื่อถือ ดังนั้น สาวแนะนำเครื่องสำอางจึงมีแต่คนสวยๆหล่อๆ กันทั้งนั้น นางแบบที่นำมาโฆษณาก็เช่นเดียวกัน นอกจากนั้นจะสังเกตได้อีกว่า ดาราก็กำลังสนใจมาเปิดคลินิกความงามกันมากมายแล้วแพทย์เองละ จะต้องคล้อยตามกระแสนี้ด้วยหรือไม่ คำตอบคือ มีส่วนอยู่มาก เพราะดูจากการโฆษณารับสมัครแพทย์ ตามสื่อต่างๆ ก็เน้นเรื่อง ขอให้ผิวพรรณดี และบุคลิกดี เท่านั้นพอ ลองดูคุณสมบัติอื่นๆก็ไม่เห็นจะได้เน้นอะไรมากกว่านั้น ดังนั้นน่าจะตรงประเด็นคือ ขอให้หมอ สวยหล่อ บุคลิกดีก็ได้งานแน่นอน แต่ในความเป็นจริงการทำงานกับบุคคลที่บุคลิกดี ผิวพรรณดี เมื่อทำงานได้สักพักจึงรู้ว่า บางคนด้อยคุณธรรมมาก พูดเท็จ เห็นแก่ตัว และเห็นแก่เงินมาก เอารัดเอาเปรียบ ไม่มีคุณธรรมที่เรารับได้และฐานความรู้เดิมกับการพัฒนาหาความรู้เพิ่มเติมก็ดูจะด้อยกว่ามาตรฐานมาก แต่ในทางตรงกันข้าม การทำงานที่เน้นหน้าตาแต่ผิวพรรณก็ธรรมดา แต่เมื่อทำงานร่วมกันนานเข้า จะพบว่าเขาเหล่านั้น งามและหล่อขึ้นทุกวัน มีคุณธรรมความรู้สูง พูดจริง ทำจริง และรักษาคำพูด เห็นแก่สังคม สรุปคืออย่าเชื่อคนง่าย สังคมมันซับซ้อนขึ้นทุกวัน และก็อยู่ยากขึ้นทุกวันด้วย(ที่มานพ. สมนึก อมรสิริพาณิชย์) การดูแลสุขภาพที่ดี เริ่มต้นด้วยโภชนาการที่ถูกต้อง การกินอาหารให้ถูกต้องตามหลักโภชนาการคือพื้นฐานสำคัญของการมีสุขภาพดี แต่ในปัจจุบันเรามักนิยมบริโภคอาหารตามฝรั่ง ซึ่งเน้นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากนม แป้งและน้ำตาลบริสุทธิ์ ตลอดจนอาหารแปรรูปต่าง ๆ ทั้งที่อาหารเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญของความเจ็บป่วยที่พบได้บ่อย ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคไขข้ออักเสบ ปัญหาเกี่ยวกับทางเดินอาหาร กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน หรือการเป็นหวัดบ่อย ๆ วิธีปฏิบัติเพื่อการกินที่ดีมีอยู่ว่า กินผักสดและผลไม้เป็นประจำทุกวันโดยเลือกให้ได้ 5 ชนิดและสีสันให้มากที่สุดและต้องมั่นใจเรื่องความสะอาดและปลอดสารเคมีตกค้าง กินอาหารปรุงแต่งน้อยที่สุด เช่น ผงชูรส สารกันบูด สีปรุงแต่งซึ่งจะมีมากมายในอาหารปรุงรสและหลีกเลี่ยงอาหารที่ผ่านกระบวนการขัดสี หรือแปรรูป เช่น น้ำตาลและข้าว ควรซื้ออาหารครั้งละแต่พอกิน อย่าซื้อเก็บ มิฉะนั้นคุณค่าทางอาหารจะลดลงเรื่อย ๆ ควรทานอาหารแต่ละมื้อให้ครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสมสม่ำเสมอเป็นประจำ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ให้คุณสมบัติเรื่องสารอาหารครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการในปริมาณที่เหมาะสม และมีความสะอาดและปลอดภัย และยังผลิตจากพืชภัณฑ์ธรรมชาติ อาจเป็นทางเลือกใหม่ให้กับคนที่ต้องการให้ตนเองและคนที่รักในครอบครัวมีสุขภาพดีที่สุด แต่อาจไม่มีเวลามากพอเพราะความเร่งรีบในชีวิตประจำวัน และความยุ่งยากในการคำนวณปริมาณสารอาหารให้พอเหมาะกับทุกคนในครอบครัว ผลิตภัณฑ์ที่รับประทานง่ายพกพาสะดวก และมีรสชาติอร่อย เหมาะกับบุคคลทุกเพศทุกวัยที่ต้องการมีสุขภาพที่ดีเนื่องจากโภชนาการที่ถูกต้อง รายงานสุขภาพ-น้ำ ได้มีการค้นพบว่าน้ำมีส่วนช่วยในการดูแลรูปลักษณ์ ร่างกายไม่สามารถทำหน้าที่ได้โดยสมบูรณ์หากได้รับน้ำไม่เพียงพอ โดยเฉพาะการเผาผลาญไขมันที่สะสม หากร่างกายเก็บน้ำไว้มากจะดูได้จากการที่มีน้ำหนักเกิน แต่แก้ไขได้โดยดื่มน้ำเพิ่มขึ้น การดื่มน้ำมากขึ้นจะเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยในการดูแลรูปลักษณ์ ดื่มน้ำเท่าไหร่จึงจะพอ? โดยเฉลี่ยควรดื่มน้ำ 8 แก้วต่อวัน อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีน้ำหนักเกินควรดื่มน้ำเพิ่มมากขึ้นอีก และจะต้องเพิ่มขึ้นอีกหากคนๆ นั้น ชอบออกกำลังกาย หรืออยู่ในที่ๆมีอากาศร้อน หรือแห้ง น้ำเย็นจะถูกดูดซึมในร่างกายได้เร็วกว่าน้ำอุ่น บางหลักฐานแนะนำว่า การดื่มน้ำเย็นจะช่วยเผาผลาญแคลลอรี่ ในการที่จะใช้ประโยชน์จากการดื่มน้ำเพิ่อช่วยในการลดน้ำหนักให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดควรปฏิบัติดังนี้ เช้า: ดื่มน้ำหนึ่งควอต ทุกๆ ครึ่งชั่วโมง บ่าย: ดื่มน้ำหนึ่งควอต ทุกๆ ครึ่งชั่วโมง เย็น: ดื่มน้ำหนึ่งควอต ระหว่างเวลา 5 โมงเย็น ถึง 2 ทุ่ม เมื่อร่างกายได้รับน้ำ มันจะต้องทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ร่างกายจำเป็นต้องรักษาระดับของของเหลวให้สมดุลย์ไว้ ซึ่งเรียกว่า "breakthrough Point" ซึ่งหมายถึง ต่อมเอ็นโดซีนจะสามารถทำงานได้ดีขึ้น เมื่อการรักษาระดับของเหลวในร่างกายเบาบางลงเนื่องจากสูญเสียน้ำ ไขมันจำนวนมากจะถูกนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิง เนื่องจากตับมีอิสระในการทำหน้าที่เผาผลาญไขมันที่สะสม ทำให้เกิดความรู้สึกกระหายน้ำ รู้สึกหิวตลอดเวลา หากคุณดื่มน้ำไม่เพียงพอ? จะทำให้เกิดการขาดความสมดุลย์ในการรักษาระดับของเหลวในร่างกาย ซึ่งจะทำให้คุณมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นโดยไม่สามารถอธิบายได้ว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไร เพื่อกลับคืนสู่สภาพปกติคุณจะต้องดื่มน้ำจำนวนมากขึ้น การดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว จะช่วยให้ปริมาณไขมันในร่างกายลดลงอาจเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ที่น้ำจะเป็นสิ่งสำคัญที่มีส่วนช่วยในการดูแลรูปลักษณ์ แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะต้องดื่มน้ำเพราะความจำเป็น แต่ในความเป็นจริง น้ำ เป็น "อาหารอันวิเศษ" ที่ช่วยในการดูแลรูปลักษณ์อย่างถาวรน้ำจะช่วยในการระงับความอยากอาหาร และช่วยร่างกายเร่งการเผาผลาญไขมัน จากรายงานการวิจัยพบว่า การดื่มน้ำน้อยจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดการสะสมของไขมันมากขึ้น หากดื่มน้ำมากจะช่วยในการลดการสะสมของไขมันลงได้ ต้องทานน้ำเพื่อให้ไตทำงาน ไตไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพหากเราทานน้ำไม่เพียงพอ เมื่อไตไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ตับก็จะเป็นตัวที่ทำงานหนักขึ้น หน้าที่หลักของตับคือ ช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันที่สะสมในร่างกายให้เกิดเป็นพลังงาน แต่ตับต้องมาทำหน้าที่ของไต ทำให้มันไม่สามารถทำหน้าที่หลักได้อย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เกิดการเผาผลาญไขมันได้น้อยลง และยิ่งเพิ่มการสะสมไขมันในร่างกายมากขึ้น และทำให้การดูแลรูปลักษณ์หยุดชะงักลง กักน้ำด้วยน้ำ การดื่มน้ำอย่างเพียงพอ เป็นการรักษาของเหลวไว้ดีที่สุด เมื่อร่างกายได้รับน้ำน้อย มันจะรับรู้ว่าจะต้องรักษาความอยู่รอดไว้โดยจะต้องรักษาน้ำไว้ทุกหยด ร่างกายจะกักเก็บน้ำไว้ในที่ว่างพิเศษในโพรงเล็ก ๆ (ภายนอกเซลล์) ซึ่งจะเห็นได้จากอาการบวมที่เท้า มือ และขา การขับปัสสาวะจะช่วยให้ดีขึ้นชั่วคราว และจะบังคับให้ร่างกายเกิดความรู้สึกว่าจะต้องมีน้ำเข้ามากักเก็บไว้พร้อมความต้องการสารอาหารที่สำคัญบางชนิด เมื่อร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ อาการที่เกิดขึ้นก็จะหายเป็นปกติ วิธีที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาการขาดน้ำในร่างกาย คือเราจะต้องดื่มน้ำในปริมาณมากเพื่อที่ร่างกายจะมีน้ำไว้ใช้ในยามขาดแคลน หากคุณมีปัญหาร่างกายขาดน้ำอาจมาจากสาเหตุที่ร่างกายได้รับปริมาณเกลือมากเกินไป ร่างกายของเราจะสามารถรับปริมาณโซเดียมได้ปริมาณหนึ่งเท่านั้น หากเรายิ่งทานเกลือในปริมาณมากเท่าใด ร่างกายก็จะต้องกำจัดมันออกมาโดยใช้จะต้องใช้น้ำในการขับถ่ายออกมามากเท่านั้น แต่การกำจัดปริมาณเกลือที่ทานเข้าไปเกินความต้องการนั้นสามารถทำได้ง่าย เพียงแต่ดื่มน้ำให้มากขึ้นเท่านั้น เพราะน้ำจะช่วยให้ไตขับโซเดียมออกมา คนที่มีน้ำหนักมากร่างกายต้องการน้ำมากกว่าคนผอม คนตัวใหญ่จะมีการเผาผลาญที่มากกว่า น้ำจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีน้ำหนักมาก เพราะน้ำเป็นตัวสำคัญที่ช่วยในการเผาผลาญไขมันน้ำยังช่วยให้กล้ามเนื้อของเรามีความชุ่มชื้น และยังทำให้ผิวหนังไม่เหี่ยวย่นหลังจากการดูแลรูปลักษณ์ เซลล์ขนาดเล็กสามารถลอยตัวอยู่ได้ด้วยน้ำทำให้ผิวหนังดูเปล่งปลั่งและสดใส ชุ่มชื้นน้ำยังช่วยกำจัดของเสีย ระหว่างการดูแลรูปลักษณ์ร่างกายจะมีของเสีย โดยเฉพาะไขมันที่จะต้องกำจัดออก ซึ่งถ้าหากร่างกายมีน้ำเพียงพอก็สามารถกำจัดของเสียเหล่านี้ออกมาได้มาก น้ำช่วยบรรเทาอาการท้องผูก น้ำสามารถช่วยไม่ให้ท้องผูก หากร่างกายได้รับน้ำน้อย ทำให้ขับถ่ายลำบาก ซึ่งทำให้เกิดท้องผูก แต่สามารถช่วยให้หายได้โดยการดื่มน้ำให้เพียงพอ เคล็ดลับการดูแลสุขภาพเท้า 'สุขภาพเท้า' เรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เท้าเป็นอวัยวะสำคัญที่หลาย ๆ คนมักลืมไปว่าต้องให้การดูแลเป็นพิเศษ เพราะแค่เป็นตาปลาหรือเล็บขบก็อาจลุกลามเป็นปัญหาใหญ่โตได้ วิธีสังเกตเท้าว่ายังมีสุขภาพดีหรือเปล่า ให้พิจารณาเรื่องต่อไปนี้ 1.อาการปวด เท้าปกติจะไม่ปวด ถ้าปวดแสดงว่ามีปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง หากท่านมีอาการดังต่อไปนี้ให้พบแพทย์ - ปวดต่อเนื่องมากกว่า 72 ชั่วโมง - บวมเท้าข้างหนึ่งหรือ สองข้างมากกว่า 24 ชม. - ปวดเท้าเวลาเดินหรือวิ่ง - ปวดเท้าขณะพักหรือเวลายกขา 2.การไหลเวียนของเลือดบริเวณเท้า โดยการดูว่าสีของผิวหนังมีสีคล้ำๆ แสดงว่าอาจจะเกิดจากเลือด ไปเลี้ยงที่เท้าไม่พอ ตรวจสีผิวของนิ้วเท้าหากมีเลือดไหลเวียนปกตินิ้วจะมีสีชมพูและอุ่น หากเท้าขาดเลือดผิวจะมีสีคล้ำและเท้าจะเย็น 3.การเคลื่อนไหวของนิ้วเท้า ลองใช้นิ้วเท้าคีบผ้าบนพื้น หากทำได้แสดงว่านิ้วเท้ายังมีการเคลื่อนไหวที่ปกติดี 4.การทรงตัว โดยการยืนเท้าข้างเดียวและให้หลับตา หากอายุน้อยกว่า 30 ปีจะยืนได้นาน 15 วินาที หากอายุ 30-40 ปีจะยืนได้นาน 12 วินาที อายุ 40-50 ปีจะยืนได้นาน 10 วินาทีและอายุมากกว่า 50 ปีจะยืนได้นาน 7 วินาที การทรงตัวนี้หากบริหารจะทำให้ยืนได้นานขึ้น เคล็ดลับการดูแลเท้า (ขาและเท้าที่ดูดี) 1. ควรล้างเท้าด้วยน้ำสบู่อุ่น ๆ ประมาณ 10 นาที ซึ่งจะทำให้ผิวหนังนุ่ม แต่อย่าขัดหรือถู หรือแช่น้ำเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้ผิวหนังแห้ง 2. ควรเช็ดเท้าให้แห้ง โดยเฉพาะบริเวณซอกนิ้วต้องให้แห้งจริง ๆ 3. ดูแลเท้าไม่ให้มีรอยฟกช้ำหรือบาดแผล ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการเลือกรองเท้าที่ไม่เหมาะกับเท้า 4. วิธีป้องกันเล็บขบ ต้องตับเล็บโดยตัดตรงไม่ตัดตามความโค้งของนิ้ว และไม่ควรตัดเล็บให้สั้นเกินไป และตะไบเล็บทุกครั้งหลังตัดเล็บ 5. การใส่ครีมบำรุงที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนังและรอยต่อของเล็บกับผิวหนังและเท้าสามารถทำได้ แต่ ห้ามทาครีมบริเวณซอกนิ้ว จำไว้ว่าซอกนิ้วต้องให้แห้งเสมอ 6. ถ้านิ้วเท้ามีอาการบวมขึ้น แข็งขึ้นหรือรู้สึกคันบริเวณนิ้วเท้า นั่นอาจเป็นอาการของการติดเชื้อราบนผิวหนัง ควรไปพบแพทย์แต่เนิ่น ๆ 7. สำหรับผู้ที่ทาเล็บก่อนทาเล็บให้ล้างเล็บด้วยน้ำยาล้างเล็บก่อน 8. อย่าละเลยหากมีอาการปวดที่เท้าเนื่องจากโรคบางอย่างสามารถป้องกันและรักษาได้หากปล่อยทิ้งไว้อาจจะทำให้เกิดความผิดปกติตามมาในภายหลัง 9. ให้ตรวจเท้าเป็นประจำโดยสังเกตสีผิว อุณหภูมิของเท้า 10. เลือกรองเท้าให้เหมาะกับชนิดกีฬาที่จะเล่น และเลือกขนาดที่พอดีกับเท้า 11. ไม่เดินเท้าเปล่าเพราะอาจจะเกิดอุบัติเหตุ 12. หากไปเที่ยวชายทะเลต้องทาครีมกันแดดที่หลังเท้าด้วย เคล็ดลับดูแลสุขภาพ หลับไม่อิ่ม มีสิทธิ์อ้วนได้ รู้ๆ กันว่า การอดนอนนั้น ทำให้ดูโทรม ผิวเหี่ยว สมองเฉื่อยชา แต่มีข่าวใหม่ล่าสุด บอกว่า การหลับไม่เต็มอิ่ม ยังทำให้ยากที่จะ รักษารูปร่างได้ และมีแนวโน้มที่น้ำหนักตัวจะเพิ่มขึ้นอีกด้วย เรียกว่า นอกจากจะไม่สวยแล้ว ยังอาจทำให้อ้วนขึ้นได้อีกต่างหาก ผู้หญิง ต้องการนอนแค่ไหนจึงจะพอ นี่ก็เป็นอีกคำถามหนึ่งที่ถามกันบ่อยมาก Dr. James B. Maasเจ้าของหนังสือ " Power Sleep " บอกว่า โดยเฉลี่ยผู้หญิงจะนอนประมาณ 6 ชั่วโมง 10 นาที ทั้ง ๆ ที่ หญิงสาวในวัยไม่เกิน 25 ควรนอนให้ได้ 9 ชั่วโมง ส่วนผู้หญิงในวัยเกิน 25 ปีไปแล้ว อาจต้องการนอน แค่วันละ 8 ชั่วโมง แต่อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่า จำนวนชั่วโมงการนอนที่ได้ผลดีกับร่างกาย มากที่สุด นั่นคือ ทำให้สมองได้ พักผ่อนอย่างเต็มที่ เซลล์ของร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเอง อยู่ที่ 9 ชั่วโมง 25 นาที ไม่ใช่ 8 ชั่วโมงอย่างที่เคยเชื่อกันออกกำลังกายในช่วงไหน จึงจะทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น การออกกำลังกายในตอนเย็น (ช่วง 16.00-18.00 ) จะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ที่จะช่วยให้คุณนอนหลับฝันดี โดยเฉพาะการออกกำลังกาย ชนิดที่ช่วยเผาผลาญพลังงานอย่างต่อเนื่อง เช่น การวิ่ง เดิน ว่ายน้ำ หรือแอโรบิค เป็นเวลาอย่างน้อย 30 นาที ทำไมการนอนไม่เต็มอิ่ม อาจทำให้คุณอ้วนได้ ผลการศีกษาจาก มหาวิทยาลัยชิคาโก พบว่า กลุ่มผู้ชายที่มีสุขภาพดี วัย 17-28 ปี ที่นอนเพียง 4 ชั่วโมงต่อคืน เป็นเวลา 6 วันติดต่อกัน จะมีผลทำให้ระดับความดันของเลือดและระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น ในขณะที่ประสิทธิภาพในการทำงานของสมองลดลง นอกจากนี้ ยังพบว่า การอดนอน ทำให้เป็นหวัด ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น และคนที่เป็นโรคนอนไม่หลับเรื้อรัง ก็จะมีปัญหาเกี่ยวกับความเครียด และมีอาการอ่อนเพลีย แต่น้ำหนักตัวกลับเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากเมื่อคนเรามีอาการเครียดและรู้สึกอ่อนเพลีย ก็มักจะหาทางออกด้วยการกินอาหารที่มีรสหวาน ซื่งเป็นปฎิกริยาของร่างกาย ที่ต้องการพลังงานไปชดเชยนั่นเอง ฝึกหายใจแบบโยคะ ช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น Dr. Derek Loewy ผุ้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัย Stanford แนะนำว่า การฝึกหายใจเข้าออกลึก ๆ เหมือนการท่าฝึกหายใจของโยคะ จะช่วยให้ลดความตึงเครียดและอาการหงุดหงิดลงได้ การฝึกหายใจ ไม่เพียงแต่จะเพิ่มออกซิเจนให้กับร่างกายเท่านั้น แต่ยังช่วยลดอาการอ่อนเพลีย และขับไล่สารพิษเมื่อหายใจออก และช่วยให้จิตใจสบาย ร่างกายผ่อนคลาย ลดความวิตกกังวลต่าง ๆ ได้ จึงช่วยให้คุณนอนหลับได้ง่ายขึ้น วิธีฝึกหายใจ นั่งไขว้ขา หลังตรง ยืดหน้าอกขึ้น แต่ผ่อนคลายส่วนไหล่ วางมือลงบนหน้าท้อง โดยให้ฝ่ามือหันเข้าลำตัว หายใจเข้าลึก ๆปล่อยให้มือ ขยับขึ้นลง ตามจังหวะการหายใจ ฝึกหายใจในท่านี้ ประมาณ 10 ครั้ง เคล็ดลับรักษาผิวสาว การปล่อยปละละเลยให้ผิวชำรุดทรุดโทรมจนดูร่วงโรยก่อนวัย แม้เครื่องสำอางชั้นดีแค่ไหนก็ยากที่จะเรียกความสดใสกลับคืนมาได้นอกเสียจะช่วยไม่ให้คุณมีริ้วรอยมากไปกว่านี้ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณส่วนใหญ่ แนะนำว่าการดูแลผิว ต้องใส่ใจกันตั้งแต่วัยสาวๆยิ่งเริ่มเร็วเมื่อไหร่ ก็จะยิ่งยืดความเสื่อมของเซลล์ไปได้มากขึ้น ลองมาดูเทคนิค 5 ข้อ เพื่อ ช่วยรักษาผิวสาวให้ดูสดใสไปนานๆ 1. ทาครีมกันแดด ผู้รู้เขาบอกว่า 80 % ของการเสื่อมของผิวหนังเกิดจากแสงแดด รังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดด เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดริ้วรอย เหี่ยวย่น เนื่องจากจะทำลายเส้นใยคอลลาเจน และอีลาสติคทำให้ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่นได้ แต่อยู่เมืองไทยจะเลี่ยงไม่ให้โดนแดดกันเลย ก็เห็นจะยาก จึงควรทาครีมปกป้องใบหน้าและลำคอเป็นประจำทุกวัน ครีมกันแดดที่ใช้ควรมีค่า SPF 15 ขึ้นไปส่วนการขับรถในที่แดดจ้า โดยไม่สวมแว่นกันแดด ทำให้คุณต้องหยีตากันตลอดเวลา ก็ทำให้รอยตีนกามาเยือนได้ง่าย ๆ รวมทั้งการเผลอทำหน้านิ่วคิ้วยุ่งๆอยู่บ่อยๆ ก็เป็นที่มาของริ้วรอยทั้งสิ้น 2. ท่านอนทำให้เกิดริ้วรอย ผู้เชียวชาญด้านผิวพรรณ บอกว่า ในช่วง 6-8 ชั่วโมง ของการนอนในแต่ละวัน มีผลทำให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้าได้ โดยเฉพาะคนที่ชอบนอนซุกหน้ากับหมอนจะทำให้ใบหน้าด้านที่ตะแคงเข้าหาหมอน เกิดริ้วรอยมากกว่าอีกด้าน ยิ่งพวกที่ชอบเอามือก่ายหน้าผาก ก็ยิ่งทำให้เกิดริ้วรอยมากขึ้น ซึ่งอาจหลีกเลี่ยงได้โดยเปลี่ยนมานอนหงายแทนหรือเลือกใช้หมอนที่อ่อนนุ่ม และใช้ปลอกหมอนเนื้อผ้าลื่นๆ อย่างผ้าซาติน จะสามารถแก้ปัญหาในจุดนี้ได้ 3. กินอาหารดีๆ อาหารที่ดี มีประโยชน์ และครบหมวดหมู่ จะช่วยให้ผิวพรรณสดใสได้ โดยเฉพาะวิตามินเอ ซีและอี ซึ่งมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิว และอย่าลืมดื่มน้ำมากๆ วันละ 6-8 แก้ว ส่วนบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกฮอล์เป็นตัวการสำคัญที่บ่อนทำลายผิวหนังให้เสื่อมก่อนวัยอันควร 4. อดนอน ริ้วรอยมาเยือน การพักผ่อนไม่เพียงพอ นอกจากทำให้สุขภาพทรุดโทรมแล้ว ใบหน้าก็ดูหมองคล้ำ อิดโรย และถ้าคุณอดนอนบ่อย ๆจะทำให้ริ้วรอยมาเยือนก่อนวัย 5. รู้จักผ่อนคลาย ความเครียดที่ไม่มีโอกาสผ่อนคลาย เปิดโอกาสให้สิวจู่โจมได้ง่ายๆถ้าไม่อยากให้เกิดสิว ซึ่งพลอยทำให้ใบหน้าไม่สดใส ควรหาวิธีผ่อนคลายความเครียด การทำจิตใจให้สงบโดยการทำสมาธิ การฟังเพลงสบายๆ ชื่นชมกับธรรมชาติรอบตัว ให้เวลากับสุนัขของคุณ ก็ช่วยคลายเครียดได้ ประจำเดือนไม่ปกติ ในกรณีที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ และได้รับการตรวจภายในแล้ว ไม่พบอาการผิดปกติ เราเรียกภาวะนี้ว่า Dysfunctional uterine bleeding (DUB) ซึ่งเกิดจากระบบฮอร์โมนที่ควบคุมการมีประจำเดือนแปรปรวนไป มักจะทำให้ไม่มีไข่ตก ภาวะนี้ไม่ได้เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่อาจจะรู้สึกรำคาญ ที่ประจำเดือนมาบ่อย หรือไม่เหมือนคนอื่น การรักษา จะใช้ยาคุมในกรณีที่ยังไม่แต่งงานหรือยังไม่พร้อมที่จะมีบุตร ใช้ระยะเวลา 6 เดือน ถึง 1 ปี ถ้าได้รับการรักษามานานแล้ว ประจำเดือนยังไม่กลับมาปกติ ควรได้รับการตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจฮอร์โมนในเลือด อัลตราซาวด์ เป็นต้น ถ้าในกรณีที่ต้องการมีบุตร การรักษาจะใช้ยากระตุ้นให้ไข่ตก เพื่อให้ตั้งครรภ์ได้ง่ายขึ้น ถ้าไม่ตั้งครรภ์ประจำเดือนก็จะมาปกติ ปวดประจำเดือน อาการปวดประจำเดือนโดยทั่วไป เกิดขึ้นเนื่องจากผนังมดลูกมีการสร้างสารชนิดที่เรียก ว่า โพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) หลั่งออกมามากขึ้น หรือมีความไวต่อสารตัวนี้ เพิ่มขึ้น ทำให้มีการบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูกและมดลูกหดตัวแรงขึ้น อันเป็นสาเหตุของ อาการปวดประจำเดือน นอกจากนี้ยังทำให้เส้นเลือดหดตัวในส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้อีก เช่น ทำให้ปวดศีรษะ คลื่นไส้ ท้องเดิน ร่วมกับอาการปวดประจำเดือนอาการปวดประจำเดือนจะรุนแรงในวันแรกของการมีประจำเดือน แล้วค่อย ๆ ลดลงแต่ก็มีสตรีบางคนอาจจะมีอาการปวดตลอดระยะเวลาของการมีประจำเดือนซึ่งสามารถบรรเทาอาการปวดได้ โดยการวางถุงน้ำร้อนบริเวณหน้าท้องหรือพักผ่อน ให้เพียงพอ หากปวดมากให้รับประทานยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล หรือยาที่มีฤทธิ์ ยับยั้งการสร้างโพรสตาแกลนดิน ซึ่งเป็นสารที่เป็นสาเหตุสำคัญของการปวดประจำเดือน ได้แก่ กลุ่มยาต้านอักเสบที่มิใช่สเตียรอยด์ ส่วนในตำรับยาแผนโบราณให้รับประทานตังกุย หรือใช้ดอกคำฝอยชงดื่มเป็นยาบำรุง โลหิตประจำเดือน และบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้ การก้าวย่างอย่างสงบนิ่งและผ่อนคลาย จะช่วยให้คุณก้าวสู่วันใหม่อย่างสดใส 1. เริ่มต้นวันใหม่แบบไม่แร่งรีบ ถ้าคุณตื่นมาด้วยอาการตื่นตระหนกของเสียงนาฬิกาปลุก และรู้สึกเร่งรีบที่จะต้องเตรียมตัวออกจากบ้าน ซึ่งอาจทำให้คุณพกพาอารมณ์บูดไปเจอกับเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน ลองปรับเวลานอนให้เร็วขึ้น เพื่อคุณจะได้ตื่นเช้าขึ้นอีก 20 นาที คุณจะได้ไม่ต้องวิ่งวุ่นทุกเช้า แต่หากคุณไม่สามารถเลื่อนเวลาตื่นให้เร็วขึ้นได้ ก็ควรจัดการงานเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นเตรียมเสื้อผ้า เอกสารที่ต้องนำไปด้วย ไว้ให้เรียบร้อยก่อนเข้านอน คุณก็จะมีเวลาเพิ่มอีก 10-15 นาที ทำให้คุณเริ่มต้นวันใหม่ได้อย่างสงบและผ่อนคลายมากขึ้น 2. ออกกำลังกายยามเช้า จะเดินเล่น หรือยืดเส้นยืดสาย ด้วยท่าบริหารที่คุณถนัด ล้วนแล้วแต่ทำให้คุณหายง่วงเหงาหาวนอนไปได้ Dr. Maas Born ผู้เชี่ยวชาญจากนิวยอร์ค บอกว่า การออกกำลังกาย ช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญแคลอรี และร่างกายจะหลั่งสารเอนโดฟินส์ หรือสารแห่งความสุขออกมา ทำให้คนเรารู้สึกกระฉับกระเฉงและอารมณ์ดี ยิ่งได้ออกแรงในยามเช้า ซึ่งอากาศสดชื่น ยิ่งทำให้คุณสลัดความซึมเซาหลังตื่นนอนไปจนหมดเกลี้ยง 3. จิบน้ำอุ่น ๆ หรือน้ำผลไม้รสเปรี้ยว จิบน้ำตอนตื่นนอน ไม่เพียงช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่นเท่านั้น แต่ยังหมดปัญหาเรื่องท้องผูกอีกด้วย นอกเหนือจากการจิบน้ำอุ่น ๆสักแก้วแล้ว ลองดื่มน้ำผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น น้ำส้ม น้ำมะนาว น้ำฝรั่ง หรือน้ำกระเจี๊ยบแดง จะช่วยระบายท้องได้ดีและทำให้รู้สึกสดชื่นได้เช่นกันค่ะ 4. สูดหายใจลึก ๆ เรามักเคยชินกับการหายใจเพียงแค่ค่อนปอด ลองการหายใจให้เต็มปอด หรือการสูดอากาศให้ผ่านจมูกลึกลงไปถึงช่องท้องทำวันละ 10 นาที จะช่วยปลอบประโลมร่างกาย ให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่า สดชื่นขึ้น และยังช่วยเพิ่มพลังความคิดอ่านอีกด้วย 5. เติมความสดชื่นด้วยกลิ่นหอม กลิ่นของน้ำมันหอมระเหย จากพืชสมุนไพรธรรมชาติ มีผลต่อร่างกายและจิตใจได้ โดยเฉพาะกลิ่นหอมของโรสแมรี่ จะช่วยให้สมองแจ่มใส ขจัดความรู้สึกเฉื่อยชาให้หมดสิ้นไปได้ ลองผสมน้ำมันหอม โรสแมรี่ 1 หยด ลาเวนเดอร์ 2 หยด และเกรปฟรุต 2 หยด ในน้ำอาบตอนเช้าก่อนไปทำงาน จะช่วยให้รู้สึกสดชื่น หายง่วง และทำให้อารมณ์ดีในทุกเช้า 6. เรียกพลังด้วยอาหารเช้า ตอนเช้า คุณอาจรู้สึกขาดเรี่ยวแรง แม้แต่จะขยับแข้งขา เพราะระหว่างที่นอนหลับอยู่ คุณไม่มีอาหารตกถึงท้อง อาหารมื้อเช้า จึงเป็นอาหารมื้อสำคัญที่ช่วยเรียกพลัง ทำให้สมองกระปรี้กระเปร่าขึ้น แต่ไม่ควรหนักไขมันมาก เพราะอาหารที่ย่อยช้า ก็ทำให้คุณรู้สึกซึมเซาได้ ควรเน้นเป็นอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนที่ย่อยได้ง่าย ซึ่งช่วยเพิ่มเรี่ยวแรงและทำให้คุณรู้สึกกระฉับกระเฉงได้ทันที 7. คิดดี ชีวิตมีสุข เริ่มต้นวันใหม่ทุกวัน ด้วยการบอกตัวเองว่า ชีวิตคุณจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ในทุก ๆ เรื่อง เมื่อคุณเชื่อมั่นในตัวเอง อย่างที่คุณบอกกับตัวเอง อะไร ๆ ที่ดี ๆ ก็เป็นไปได้ทั้งนั้นและแล้วก็ถึงเวลาที่คุณจะพกพาความสดชื่นและความสดใสไปอวดใคร ๆ ได้แล้วล่ะ เมนูอาหารเพื่อผิวผ่อง Mitcheal P. Goldman แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังจาก University of California Sandirgo School of Medicine บอกว่า อาหาร ช่วยให้ผิวพรรณสดชื่น เปล่งปลั่ง และดูอ่อนวัยได้ เนื่องจากอาหารที่ดีกับสุขภาพ จะช่วยให้ผิวคงความชุ่มชื้น และช่วยขับพิษออกจากร่างกายนอกจากนี้คนที่ผิวสวยย่อมได้เปรียบกว่าคนที่หน้าตาดี แต่ผิวพรรณกลับดูร่วงโรย หมองคล้ำ ไม่สดใสคุณหมอ Mitcheal P. Goldman ได้จัดทำโปรแกรมอาหารเพื่อผิวสวย เพื่อใช้กับคนไข้ที่มีปัญหาด้านผิวพรรณ โดยอาหารส่วนใหญ่ จะประกอบด้วย เนื้อปลา น้ำมันมะกอก เมล็ดข้าวและธัญพืช ผลไม้และผักสดรวมทั้งน้ำเปล่า ซึ่งเพียง 2 สัปดาห์ คนไข้เหล่านั้น ต่างบอกว่า ผิวพรรณของพวกเธอดูสดใส และเนียนนุ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่บางรายบอกว่า ผิวหน้าขาวใส ไร้จุดด่างดำอีกด้วย อาหารที่ดีกับผิวพรรณ เนื้อปลา เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมเซลล์ของร่างกายที่เสื่อมโทรม และยังมีเซเลเนียม ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความชราและความเสื่อมของร่างกาย น้ำมันมะกอก เป็นน้ำมันจากพืชที่แม้จะมีแคลอรี่สูงก็จริง แต่มีข้อดีคือ มีกรดไขมันชนิดที่เป็นประโยชน์กับร่างกายสูง และเป็นไขมันชั้นดี ซึ่งเป็นตัวควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและที่สำคัญในน้ำมันมะกอกยังประกอบด้วยวิตามินเอ และอี ที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ทำให้ผิวดูอ่อนวัยคงความชุ่มชื้นและเนียนนุ่ม เมล็ดข้าวและธัญพืช ไม่ว่าจะเป็นข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ด ข้าวโพด ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำ งา นอกจากจะมีวิตามินบีสูงแล้ว ยังมีวิตามินอี ซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ซึ่งจะช่วยสร้างและรักษาความแข็งแรงของเซลล์ มีงานวิจัยระบุว่าวิตามินอี ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และช่วยปกป้องความเสียหายที่เกิดจากมลภาวะให้แก่ผิว ผลไม้และผักสด ผักสด มีวิตามินเอ ช่วยทำให้ผิวหนังไม่แห้ง และยังสดใสเปล่งปลั่งอยู่เสมอ และยังมีวิตามินซีซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างเส้นใยคอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้ผิวพรรณของใบหน้าดูเต่งตึง มีความยืดหยุ่น ผักสดและผลไม้ จึงควรเป็นอาหารที่คุณควรบรรจุไว้ในเมนูอาหารทุกมื้อของคุณ ผลไม้ที่มีวิตามินซีมาก ได้แก่ ส้ม มะนาว มะเขือเทศสับปะรด ฝรั่ง ส่วนผักและผลไม้ที่มีวิตามินเอมาก ได้แก่ กล้วย มะละกอ ฟักทอง แครอท น้ำเปล่า น้ำทำหน้าที่สำคัญเกี่ยวกับทุกระบบภายในร่างกาย และหากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้ผิวพรรณไม่สดใส การดื่มน้ำวันละ6-8 แก้วโต ๆ เป็นวิธีที่ทำให้ผิวผ่อง แบบไม่ต้องลงทุนมาก เพราะน้ำจะช่วยรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ และยังป้องกันผิวหย่อนยานจากการลดน้ำหนักอย่างอวบฮาบอีกด้วย ตัวอย่างเมนูอาหารเพื่อผิวผ่อง มื้อเช้า : สลัดผลไม้ราดด้วยโยเกิร์ตหรือสลัดผักสดกับน้ำสลัดใส มื้อเที่ยง : ปลาจาระเม็ดนึ่ง แกงเลียง ข้าวกล้อง มื้อว่าง : นมถั่วเหลือง หรือน้ำผลไม้คั้นสด ๆ มื้อเย็น : ลาบเห็ด ซุบเต้าหู้ ข้าวกล้อง อาหารที่ทำลายผิวพรรณ 1. ไขมันอิ่มตัวในเบคอน ไส้กรอก ไอศกรีม และเนยสด กระบวนการเผาผลาญอาหารเหล่านี้ จะเกิดอนุมูลสารอิสระสูง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เซลล์ของร่างกายเหี่ยวย่น และเสื่อมโทรม 2. รับประทานอาหารที่มีน้ำตาลมากเกินไป มีผลขัดขวางกระบวนการสร้างคอลลาเจนของเซลล์ผิว ทำให้ผิวหย่อนยาน 3. คาเฟอีน เป็นตัวที่ดูดซับความชื้นจากผิว ถ้าคุณติดกาแฟจนยากที่จะเลิก เมื่อคุณดื่มกาแฟ 1 แก้ว ก็ควรดื่มน้ำเปล่าแก้วโต ๆ ตามไป 1 แก้วเช่นกัน เพื่อป้องกันไม่ร่างกายขาดน้ำ และผิวพรรณขาดความชุ่มชื้นไปด้วย 4. แอลกฮอล์ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผิวพรรณ ขาดความเปล่งปลั่ง ถ้าคุณเป็นนักดื่ม ทุกครั้งที่ดื่มแอลกฮอล์ อย่าลืมดื่มน้ำเปล่าแก้วโต 2 แก้ว เพื่อชดเชยไม่ให้ร่างกายสูญเสียน้ำ และช่วยป้องกันไมให้ผิวขาดความชุ่มชื้น สูตรอาหารเพื่อผิวสวย สลัดผลไม้ ปลาจาระเม็ดนึ่ง เมี่ยงเห็ด น้ำพริกคั่วทูน่า Smooties ผลไม้ แอปเปิ้ลคูลเลอร์ ซุปเต้าหู้ เมนูยำ อาหารเพื่อสุขภาพ เต้าหู้...คุณภาพคับก้อน จากเมล็ดถั่วเหลือง ซึ่งจัดว่าเป็นยอดขุนพลของพืชตระกูลถั่ว ถูกแปลงโฉมมาเป็นเต้าหู้หลากหลายรูปแบบ มีทั้งชนิดก้อน ชนิดหลอด จะเลือกแบบแข็งหรือแบบนิ่มก็ยังได้ เลือกได้ตามใจชอบ ราคาก็ไม่แพง หาซื้อได้ง่าย แต่ให้คุณค่าสู ง อุดมด้วยโปรตีน เหล็กและแคลเซียม แต่ปลอดคลอเรสเตอรอล ดร.แอนเดอร์สัน แห่งมหาวิทยาลัยเคนตักกี ระบุว่า การกินเต้าหู้เป็นประจำทุกวัน จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและยังช่วยป้องกันการผิดปกติของฮอร์โมนที่จะก่อให้เกิดมะเร็งบางชนิดโดยเฉพาะมะเร็งเต้านม และมะเร็งลำใส้ สำหรับสาวๆที่ต้องการมีผิวพรรณที่สดใส ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ควรรับประทานเต้าหู้ สัปดาห์ละ 3 ครั้งจัดเมนูอาหารเต้าหู้ไว้บนโต๊ะอาหารทุกวัน นอกจากสุขภาพจะดีแล้วผิวพรรณก็จะสดใสขึ้นอีกด้วย คุณภาพคับก้อนจริงๆ มะเขือเทศพระเอกตัวจริงของอาหารอิตาลี ผลไม้สีสันสดใสชนิดนี้ มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโก ต่อมาได้นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายในยุโรป แต่กลายมาเป็นพระเอกตัวจริงในอิตาลีชาวอิตาลีจัดได้ว่าเป็นนักบริโภคมะเขือเทศตัวยง อาหารยอดฮิตของอิตาลีล้วนมีมะเขือเทศเป็นส่วนผสมสำคัญ เคล็ดลับความอร่อยของอาหารอิตาลีจึงอยู่ที่ซอสมะเขือเทศนี่แหล่ะค่ะผลสรุปของสถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐ ระบุว่า การบริโภคมะเขือเทศและผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศในปริมาณสูง สามารถลดความเสี่ยงจากการเป็นมะเร็งหลายชนิดได้ โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งในช่องท้อง เนื่องจากในมะเขือเทศมีสารไลโคพีน (Lycopene) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง และโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหารได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้วิตามินเอและซีในมะเขือเทศ ก็ยังช่วยให้สุขภาพผิวสดใส ชนิดที่ไม่ต้องพึ่งเครื่องสำอางราคาแพงกันเลยทีเดียว กินกระเทียมให้เป็นยาโดยไม่ต้องพึ่งใบสั่งแพทย์ คงจะคุ้นเคยกันดีสำหรับพืชสมุนไพรชนิดนี้ เพราะแทบทุกครัวเรือนต่างมีไว้คู่ครัว ถ้าศึกษาจากผลงานวิจัยของนักวิทยศาสตร์ทั่วโลกแล้ว เราอาจจะต้องเก็บกระเทียมไว้เคียงคู่กับตู้ยาก็เป็นได้ดร.วาร์โร อี. ไทเลอร์ ที่ปรึกษาคณะเภสัชศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเพอดู เวส ลาฟาเยต พบว่า กระเทียมมีสรรพคุณเสมือนยาแอส-ไพริน คือทำให้โลหิตไหลเวียนดีขึ้น สารอัลลิซินในกระเทียมจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารและการขับถ่ายมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้การกินกระเทียมเป็นประจำทุกวัน โรคหัวใจก็ไม่ถามหากันง่าย ๆ เพราะกระเทียมเป็นตัวช่วยลดปริมาณคลอเรสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้เป็นอย่างดี สำหรับสรรพคุณของกระเทียม..หากเราย้อนประวัติศาสตร์ไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กระเทียมเป็นผู้ช่วยตัวเอกในการรักษาบาดแผลของทหาร เนื่องจากกระเทียมมีฤทธิ์ในการทำลายเชื้อโรคสารพัดชนิด ทั้งเชื้อแบคทีเรียไวรัส และเชื้อราก่อนจะหยิบอาหารเข้าปากในมื้อต่อไป อย่าลืมกระเทียมสด ๆสัก 2 ช้อนชา รับประทานคู่กับอาหารมื้ออร่อยของคุณ คุณจะได้สารอาหารที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสรรพคุณทางยาทีเดียว แก้นิสัยโกรธง่ายด้วยโยเกิร์ต ดร.เม็ทชนิคอฟ แห่งสถาบันปาสเตอร์ ในฝรั่งเศส ได้สรุปผลงานของเขาไว้ว่า การกินโยเกิร์ตทุกวัน จะทำให้สุขภาพดีและอายุยืน จุลินทรีย์แลคโตแบคซิลัสในโยเกิร์ต จะช่วยสร้างยาปฎิชีวนะในลำใส้ ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อแบททีเรียต่างๆ เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ลำใส้ ป้องกันกระเพาะจากการเป็นแผล ลดไขมันในเส้นเลือด และยังช่วยไม่ให้ฟุ้งซ่านและโกรธง่ายอีกด้วย โรคคอมพิวเตอร์ทำป่วย สาว-หนุ่ม ยุคไอที ที่วัน ๆ นั่งทำงานหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ มากกว่า 3 ช.ม มีสิทธิ์ป่วยเป็นโรค CVS (Computer Vistion Syndrome ) ซึ่งจะมีอาการ กล้ามเนื้อตาล้า เบลอ และอาจมีอาการปวดหัว ตัวร้อนร่วมด้วย วิธีป้องกันโรคคอมพิวเตอร์ทำป่วย 1. วางคอมพิวเตอร์ให้ห่างจากตัวคุณประมาณช่วงแขนเอื้อม และวางให้ต่ำกว่า ระดับของสายตาของคุณประมาณ 20 องศา 2. ทำความสะอาดหน้าจออยู่เสมอ เพราะฝุ่นจะทำให้เกิดการสะท้อนมากขึ้น 3. ควรจะหยุดพักสายตาทุก 30 นาที โดย การหลับตา หรือ มองไปไกล ๆ สัก 5-10 นาที แล้วจึงเริ่มทำงานต่อไป 4. ลองเอาต้นกระบองเพชรเล็ก ๆ ตั้งไว้ข้างจอคอมพิวเตอร์ จะช่วยดูดซับคลื่นแม่เหล็กได้ วิธีง่าย ๆ ในการคลายความล้าให้กับดวงตา นั่งลงในท่าสบาย ๆ หายใจเข้าออกช้า ถูฝ่ามือทั้งสองให้พออุ่น นำฝ่ามือประคบบนดวงตา โดยหลับตาลง อย่าให้ฝ่ามือแนบชิดกับดวงตามากเกินไป นั่งนิ่ง ๆ ในท่าดังกล่าว ประมาณ 1 นาที ค่อย ๆ เอามือออกช้า ๆ จะช่วยให้รู้สึกสบายตาขึ้น ผมร่วงในผู้หญิง-ชาย ไม่เฉพาะผู้ชายเท่านั้นที่ประสบปัญหาผมร่วง ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ยิ่งของผู้ชายทีเดียว ผู้หญิงเองก็เกิดผมร่วงได้ไม่น้อยไปกว่าผู้ชาย โดย 2 ใน 3 ของผู้หญิงก็เคยประสบปัญหาผมร่วงมาแล้ว และในจำนวนนี้เป็นผมร่วงถาวรเสียด้วย แต่สาเหตุผมร่วงของผู้หญิงบางอย่าง สามารถแก้ไขได้โดยทั่วไปคนเราจะมีเส้นผมอยู่ประมาณ 100,000 เส้น และเส้นผมจะงอกอย่างสม่ำเสมอทุกๆวัน ในแต่ละวันจะมีผมร่วงได้วันละ 50 ถึง 100 เส้นถือว่าปกติ เส้นผมจะงอกยาวประมาณ 1/2 นิ้ว ต่อเดือนโดยผมแต่ละเส้นจะอยู่บนศีรษะนาน 2 –6 ปีทีเดียว และระหว่างนีผมก็จะงอกยาวเรื่อยๆ เมื่อเส้นผมแก่ตัวขึ้นก็จะหยุดงอก แต่ก็จะยังคงอยู่บนศีรษะ เพียงแต่จะไม่งอกอีกเท่านั้น และสุดท้ายก็จะร่วงไป แล้วเส้นผมใหม่ก็จะค่อยๆก่อตัวขึ้นภายใน 6 เดือน แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่สามารถหยุดยั้งกระบวนการทั้งหมดของเส้นผมนี้ 1. อายุและฮอร์โมน ส่วนใหญ่ผมจะร่วงเมื่ออายุมากขึ้น โดยอายุ,ฮอร์โมน และพันธุกรรม จะเป็นสาเหตุให้ผมร่วงได้มากกว่า ปัจจัยอื่นๆ และผู้ชายจะพบปัญหานี้มากกว่าผู้หญิงมากซึ่งการผมร่วงนี้จะเริ่มเกิดขึ้นเมื่ออายุ 25-30 ปีสำหรับผู้หญิงจะผมร่วงโดยเริ่มจากการที่ผมเส้นเล็กลง และสั้นเมื่อลูบผมก็จะมีผมเส้นบางและสั้นติดมือมา สาเหตุชนิดเดียวที่มักจะทำให้เกิดผมร่วงถาวร หรือหัวล้าน 2. ยา ยาบางชนิดโดยเฉพาะที่ใช้รักษามะเร็งทำให้ผมร่วงได้ นอกจากยารักษามะเร็งแล้วยารักษาความดันโลหิต, ยาต้าน การซึมเศร้า,ยาคุม และวิตามินเอขนาดสูง ก็ทำให้ผมร่วงได้ แต่เป็นการร่วงชั่วคราวเท่านั้น 3. เมื่อลูบผมก็จะมีผมเส้นบางและสั้นติดมือมา สาเหตุผมร่วงชนิดนี้เป็นสาเหตุชนิดเดียวที่มักจะทำให้เกิดผมร่วงถาวร หรือหัวล้านนั่นเอง 4. อาหาร อาหารโปรตีนน้อย รวมทั้งธาตุเหล็กน้อย จะทำให้ผมร่วงได้ 5. ความเครียด หรือการเจ็บป่วย จะทำให้ผมร่วงได้ 1-3 เดือนเลยทีเดียว 6. การคลอดลูก ผู้หญิงหลังคลอดจะมีผมร่วงได้ภายใน 2-3 เดือนหลังคลอด 7. เป็นโรคไทรอยด์ ก็ทำให้ผมร่วงได้เชื้อราของหนังศีรษะ ซึ่งต้องรักษาโดยแพทย์ผิวหนัง สำหรับการรักษานั้นก็ขึ้นอยู่กับสาเหตุของการเกิดผมร่วง ยกเว้นสาเหตุเดียวที่มักจะเป็นผมร่วงถาวร คือสาเหตุจากอายุและพันธุกรรม ซึ่งต้องปรึกษาแพทย์เฉพาะทางที่อาจจะเลือก การใส่ วิกผม, รับประทานยากระตุ้น, และผ่าตัดปลูกถ่ายผม ลมหายใจเหม็น สาเหตุ มักเกิดหลังจากกินอาหารรสจัด แก้ได้ด้วย ให้แปรงฟันบ้วนปาก ด้วยน้ำยาดับกลิ่น หรือเคี้ยวยาอมไปหาหมอตรวจฟันว่า มีฟันผุ หรือเหงือกเป็นแผลรึเปล่าจะได้รักษาเยียวยา หรืออาจมีสาเหตุมาจากฟัน ฟันเหลือง แก้ได้ด้วย 1. ควรไปพบทันตแพทย์ เพื่อขูดหินปูน 2. แปรงฟันเป็นประจำทุกเช้ากับก่อนนอน ด้วยผงเบกกิ้งโซดา ผสมเกลืออย่างละครึ่ง จะช่วยให้ฟันขาว เป็นเงางามได้ 3. เลือกทาลิปสติกสีแดงเข้ม เลี่ยงสีส้มหรือชมพู วิธีถนอมความอ่อนเยาว์ของผิว ใคร ๆ ก็อยากเป็นสาวผิวใส ไร้ริ้วรอยและความหมองคล้ำ แต่วัยที่มากขึ้นรวมทั้งมลภาวะรอบกาย อาจทำให้ผิวค่อย ๆ เหี่ยว แบบไม่รู้ตัวได้มาเริ่มต้นดูแลผิว เพื่อรักษาความสดใสของผิวกันดีกว่า 1. ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ ไม่ว่าจะฤดูกาลไหน ครีมกันแดด เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยปกป้องผิวจากภัยแดดที่ขึ้นชื่อว่า เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวเหี่ยวย่น การทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันจึงเป็นเสมือนการสร้างเกราะคุ้มกันให้กับผิวหน้า ถ้าไม่ได้ไปเผชิญกับแดดแรง ๆ เลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 ก็พอ และในช่วงกลางวันที่แดดจ้า หลบแดดได้จะเป็นวิธีปกป้องผิวที่ดีที่สุด หรือถ้าต้องไปรับไอแดดกันจริง ๆ ควรสวมหมวกปีกกว้าง สวมแว่นกันแดด และใส่เสื้อผ้าโทนสีเข้ม เนื้อหนา ที่สามารถป้องกันการทะลุทะลวงของรังสี UV ทั้ง UVA ที่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผิวคล้ำและมีริ้วรอย และ UVB ที่ทำให้ผิวไหม้เกรียม 2. อย่ารบกวนผิวมากเกินไป การรบกวนผิวมากไป ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพผิวแต่อย่างใดการล้างหน้าบ่อยเกินไป หรือขัดถูเช็ดผิวหน้าอย่างรุนแรงเพื่อให้มั่นใจ ว่าสะอาดเพียงพอ กลับเป็นการทำร้ายผิวแบบไม่รู้ตัว เพราะอาจทำให้ผิวมีริ้วรอยและหยาบกร้านได้โดยเฉพาะคนที่ผิวแห้ง การล้างหน้าต้องทำอย่างนุ่มนวลเช็ดผิวอย่างเบามือ เพื่อป้องกันริ้วรอยก่อนวัยนอกจากนี้ควรเลือกใช้ผลิตภัณท์ที่อ่อนโยนต่อผิวด้วย 3. เลือกใช้ผลิตภัณท์ที่มีส่วนผสมของ AHA AHA หรือ Alpha hydroxy acid มีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิวให้ขาวขึ้นแล้ว ยังช่วยรักษาริ้วรอยจากแสงแดดได้ด้วยซี่งปัจจุบัน เครื่องสำอางส่วนใหญ่ จะมีส่วนผสมของ AHAในปริมาณ 2-15 % ซึ่งมักไม่เป็นอันตรายกับผิว แต่อย่างไรก็ตาม ก็ควรเลี่ยงที่จะไปตากแดดแรง ๆ เพราะการใช้ AHAจะทำให้ผิวหน้าไวต่อแดดมากขึ้นดังนั้นเพื่อป้องกันการแพ้ ควรใช้ครีมกันแดดร่วมด้วยเสมอ 4. ลดริ้วรอยบาง ๆ ใต้ตาด้วยเรตินอล เมื่ออายุมากขึ้น ริ้วรอยใต้ตา อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความร่วงโรยของผิวได้ โดยเฉพาะผิวใต้ตา ซึ่งค่อนข้างบอบบางจึงเกิดริ้วรอยได้ง่าย หากทิ้งไว้ ก็กลายเป็นรอยตีนกาได้คงถึงเวลาที่คุณจะต้องหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอล ซึ่งมีคุณสมบัติลดเลือนริ้วรอยจางๆ ได้ดี นอกจากนี้เรตินอลยังช่วยกระตุ้นการเสริมสร้างคอลลาเจน ทำใหผิวหน้าเต่งตึงขึ้นได้ 5. อาหารต่อต้านริ้วรอย ผู้เชี่ยวชาญท่านได้ศึกษาพบว่า อาหารที่อุดมไปด้วยผลไม้,ผัก และไขมันต่ำ จะช่วยให้ผิวพรรณของเราแข็งแรงพอที่จะต่อต้านสิ่งที่จะมาทำลายผิวให้อ่อนแอ จนเป็นสาเหตุให้เกิดริ้วรอยได้ โดยเฉพาะแสงแดดภัยตัวฉกาจของการทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของหญิงสาวค่ะชนิดของอาหารที่แนะนำให้รับประทานก็คือ อาหารที่มีไขมันต่ำลดการรับประทานเนื้อแดงและของหวานลง นอกจากนี้ก็ควรเพิ่มการรับประทานผักใบเขียว, ผลไม้ เมล็ดถั่วต่างๆ, น้ำมันมะกอกที่เป็นไขมันไม่อิ่มตัว รวมทั้งเมล็ดธัญพืชต่างๆค่ะซึ่งอาหารดังกล่าวจะอุดมไปด้วยวิตามินที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเช่น วิตามินเอและซี และอี จะช่วยให้ผิวของคุณแข็งแรงและปกป้องผิวไม่ให้ถูกทำลายจากสิ่งแวดล้อมภายนอกได้ 6. ใช้ชีวิตอย่างสมดุล สาว-หนุ่ม บ้างานทั้งหลาย มีสิทธิ์ผิวหย่อนยาน ไม่สดใส ได้เร็วขึ้นเพราะการทำงานหนัก ชนิดอดหลับอดนอน หรือไม่มีเวลาสำหรับพักผ่อน นอกจากร่างกายจะอ่อนล้าแล้ว ผิวพรรณก็หมองคล้ำ ทำให้คุณดูทั้งโทรมทั้งเหี่ยวเชียวล่ะ แม้อยากเป็นดาวรุ่งมากแค่ไหน ก็ควรจัดเวลางานและเวลาส่วนตัวให้สมดุลมีเวลาสำหรับการออกกำลังกาย และได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ซึ่งจะช่วยให้เซลล์ผิวแข็งเรง ไม่หย่อนยานก่อนวัยหากปล่อยให้ความเครียดสุมหัว จนไม่มีเวลาคลายเครียด นานวันเข้า ผิวพรรณก็ร่วงโรย จนเกินเยียวยา เครื่องสำอางมหัศจรรย์ที่ว่าแน่ๆ ก็ไม่อาจจะช่วยฉุดรั้งความสดใส และความเปล่งปลั่งของผิวสาวกลับคืนมาได้หรอกค่ะ หุ่นสวยด้วยเส้นใยอาหาร อาหารเส้นใยหรือที่เรียกว่า ไฟเบอร์ (fiber)นั้น ช่วยทำให้สุขภาพดี หุ่นสวยได้อย่างไร ลองมาดูกันดีกว่าค่ะ เส้นใยอาหาร ช่วยลดการดูดซึมไขมันจากอาหารเข้าสู่ร่างกาย เนื่องจากเส้นใยอาหาร จะไปทำหน้าที่อุ้มน้ำ อุ้มไขมัน อุ้มแบคทีเรียในลำไส้ ทำให้อุจจาระเคลื่อนตัวเร็ว ไม่เกิดการหมักหมมในลำไส้ และเร่งการขับถ่ายไขมันออกจากร่างกาย ทำให้ไม่อ้วน อาหารที่มีเส้นใยอาหารมาก ช่วยแก้นิสัยกินจุ เพราะต้องเคี้ยวนานและยังมีคุณสมบัติดูดน้ำ อุ้มน้ำ เกิดการพองตัวในกระเพาะอาหาร ทำให้อิ่มเร็วและอิ่มนาน เส้นใยอาหารจะช่วยให้การทำงานของระบบทางเดินอาหารดีขึ้น ป้องกันการหมักหมมในลำไส้ ทำให้ขับถ่ายคล่องขึ้น ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้ มีผลการค้นคว้า ระบุว่า เส้นใยอาหารมีสรรพคุณในการป้องกันมะเร็งเต้านมในผู้หญิงได้ โดยอาหารเส้นใยจะช่วยขัดขวางปฎิกิริยาของฮอร์ไมนเพศหญิง ผู้หญิงที่คลอดลูกเมื่ออายุมาก หรือไม่เคยตั้งครรภ์ จะมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมสูงควรกินอาหารที่มีเส้นใยอาหารให้มาก ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงได้ เส้นใยอาหารจะช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดได้ เนื่องจากการขัดขวางการดูดซึมไขมันเข้าสู่กระแสโลหิต จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ งานวิจัยล่าสุดพบว่า อาหารที่มีเส้นใยอาหารสูงนอกจากจะไม่ทำให้หญิงตั้งครรภ์อ้วนแล้ว ทารกในครรภ์ก็ยังได้รับประโยชน์จากเส้นใยอาหารด้วยค่ะ โดยหากมารดารับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูงระหว่างตั้งครรภ์แล้ว จะช่วยให้ทารกในครรภ์มีระบบทางเดินอาหารที่ดีด้วย โดยจะลดโอกาสการเป็นโรคลำไส้ใหญ่อักเสบในทารกได้ สถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐอเมริกา ได้แนะนำให้มีการรับประทานไฟเบอร์ 20-30 กรัมต่อวัน ซึ่งอาหารที่มีไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหารสูงนั้นมีอยู่ใน ผัก, ผลไม้ ธัญพืชต่างๆ เช่น ถั่ว , งา และอย่าลืมหันมาทานข้าวกล้องกันด้วย ถ้าอยากหุ่นดี ไม่มีไขมันสะสม และสวยอย่างสาวสุขภาพดี ไม่มีโรคภัยมะรุมมะตุ้มเมื่ออายุมากขึ้น ก็ต้องหันมากินอาหารที่มีไฟเบอร์กันบ้างแล้วล่ะ ซึ่งไม่ต้องไปขวนขวายหาซื้อไฟเบอร์อัดเม็ด เติมสี แต่งรส อย่างที่สถานลดความอ้วนหลาย ๆแห่งเขาแนะนำกันหรอก เพียงหันมากินข้าวกล้องแทนข้าวขัดขาว เพิ่มอาหารธัญพืช เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียวงาดำ ผักสด ผลไม้ และเห็ด ง่าย ๆแค่นี้คุณก็ได้เส้นใยอาหารอย่างเพียงพอแล้ว ลาบเห็ด อาหารจานสุขภาพ ที่ให้ทั้งโปรตีนและไฟเบอร์ รสชาติแซ่บ อร่อย ที่สำคัญไม่ทำให้อ้วนด้วย ตกขาวคืออะไร ตกขาวหมายถึง สิ่งที่ถูกขับออกมาจากช่องคลอด และสิ่งนั้นไม่ใช่เลือด ดังนั้น ตกขาวจึงมีสีอะไรก็ได้แต่ส่วนใหญ่จะสีขาว ตกขาวนี่เองที่เป็นอาการที่ผู้ป่วยมาหาหมอถึงหนึ่งในสามของผู้ป่วย ที่มาตรวจภายใน ตกขาวเป็นคำเรียกที่รู้จักกันทั่วไป แต่บางคนก็เรียก ระดูขาว (ไม่ใช่ฤดูขาวระครับ) หนังสือบางเล่มก็เรียก มุตกิต ก็มี ตกขาวไม่ใช่โรคแต่เป็นอาการ ซึ่งอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น คัน มีกลิ่น หรือเจ็บปวด ชนิดของตกขาว ตกขาวกับผู้หญิงเป็นของคู่กัน เป็นผู้หญิงก็ต้องมีตกขาว การมีตกขาวไม่ได้หมายถึง การเป็นโรคหรือเป็นมะเร็ง หรือผิดปกติ นั่นก็หมายถึงว่า การมีตกขาวอาจเป็นปกติ หรือไม่ปกติก็ได้ ตกขาวปกติ เป็นตกขาวที่พบได้ในภาวะปกติ ตกขาวแบบนี้มีสีขาว คล้ายแป้งเปียก มีปริมาณไม่มาก ไม่คัน กลิ่นออกเปรี้ยวเล็กน้อย ไม่เหม็น อย่างไรก็ตามในบางช่วงอาจมีปริมาณมากขึ้นเล็กน้อย เช่น ช่วงก่อนมีรอบเดือน หลังมีรอบเดือน ช่วงไข่ตก หรือในภาวะตั้งครรภ์ ในตกขาวมีสารอะไรบ้าง อย่างที่บอกตกขาวหมายถึง สารที่ถูกขับออกจากช่องคลอด ซึ่งมีทั้งสิ่งที่ถูกขับออกจากต่อมต่างๆ ในระบบสืบพันธ์ ซึ่งได้แก่ 1. น้ำที่หลั่งจากต่อมใต้ผิวหนัง บริเวณช่องคลอด จากต่อมสกีน (Skene's gland) ต่อมบาร์โธลิน เพื่อหล่อลื่นปากช่องคลอด 2. เซลล์เยื่อบุผนังช่องคลอดที่หลุดลอกออกมา 3. มูกจากต่อมที่ปากมดลูก 4. โปรตีน, เกลือแร่ ที่มาจากผนังช่องคลอด เยื่อบุโพรงมดลูก และหลอดมดลูก 5. กรดแลคติคซึ่งแบคทีเรียในช่องคลอดสร้างจากกลัยโคเจน ของเยื่อบุผนังช่องคลอด ตกขาวที่ไม่ปกติ คือ ตกขาวที่ตรงข้ามกับตกขาวปกติ กล่าวคือ มีปริมาณมาก บางครั้งไหลโจ๊กยังกะมีรอบเดือนยังไงยังงั้น มีกลิ่นเหม็น ลักษณะอาจเป็นหนอง มูกปนหนอง ปนเลือด มีฟอง และมักมีอาการอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น คัน แสบ ออกร้อนที่บริเวณปากช่องคลอด หรือมีปวดท้องน้อยร่วมด้วยก็ได้ ต้นเหตุที่ทำให้ตกขาวผิดปกติ ที่พบบ่อย 3 อันดับแรกคือ - จากเชื้อแบคทีเรีย (bacterial vaginosis) พบได้ร้อยละ 30-35 - จากเชื้อรา, ยีสต์ (vulvovaginal candidiasis) พบได้ร้อยละ 20-25 - จากเชื้อพยาธิ trichomoniasis พบได้ร้อยละ 10 ในจำนวนนี้มีผู้ป่วยที่พบเชื้อสองชนิดหรือมากว่าสองชนิด อยู่ร้อยละ 15-20 เรียกว่า ได้หนึ่งแถม หนึ่งว่างั้นเถอะ เชื้อ 3 ตัวนี้พบร้อยละ 90 ของผู้ป่วยตกขาวผิดปกติ สาเหตุของการตกขาวผิดปกติ แบ่งตามตำแหน่งที่เกิดคือ 1. ช่องคลอดอักเสบ ที่พบบ่อยคือ - แบคทีเรีย (bacterial vaginosis) - เชื้อพยาธิ (trichomonas) - เชื้อรา (candida) - เชื้อไวรัส เช่น โรคเริม - เชื้อแบคทีเรียอื่นๆ 2. ปากมดลูกอักเสบ - การติดเชื้อหนองใน - การติดเชื้อคลามิเดีย - การติดเชื้อเริม 3.ปากมดลูกมีแผล, เป็นเนื้องอก 4.สิ่งแปลกปลอมในช่องคลอด เช่น เศษกระดาษทิชชู, สำสี, ผ้าก็อซ, เมล็ดผลไม้, ถุงยางอนามัย เป็นต้น 5.เนื้องอกและมะเร็งมดลูก, ปากมดลูก ซึ่งตกขาวจะมีกลิ่นเหม็นมาก 6.สตรีวัยหมดระดู ขาดฮอร์โมน ก็ทำให้เกิดช่องคลอดแห้งอักเสบ มีตกขาวได้ ความสัมพันธ์ระหว่าง "วัย" กับ "ตกขาว" วัยเด็ก มักเกิดจากความสกปรก สุขอนามัยไม่ดี ทำความสะอาดไม่เป็น หรืออาจมีสิ่งแปลกปลอม ที่เด็ก ยัดเข้าไป เช่น ยางลบ เม็ดผลไม้ กระดาษทิชชู วัยเจริญพันธุ์ มักเกิดจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ วัยหมดระดู เกิดจากการขาดฮอร์โมน เส้นผมเสริมบุคลิกภาพ ผมสวยสะดุดตานั้น ถือ เป็นอาวุธร้ายประจำตัวหญิงสาวมาเนิ่นนาน แต่สำหรับ หนุ่มๆ ในตอนนี้ก็คือพวกเขาสามารถมัดใจหญิงสาวได้ด้วยผมสวยเช่นกัน เนื่องมาจากว่าสาว ๆ จำนวนไม่น้อยที่พิจารณาชายหนุ่มจากทรงผมเป็นอันดับแรก ด้วยว่าทรงผมนี่แหล่ะที่สามารถบ่งบอกถึงบุคลิก และนิสัยของชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี การที่เขาไว้ผมอย่างไรสามารถบอกได้ว่าเขาก็คงเป็นคนอย่างนั้น เช่นกัน ที่น่าแปลกยิ่งไปกว่านั้น คือ ทรงผมสามารถเปลี่ยนบุคลิกของคนคนหนึ่งให้เป็นไปตามช่วงเวลานั้นๆ ได้อีกด้วย ที่สำคัญก็คือ ทรงผมนี่แหละที่สามารถสร้างความดึงดูดใจได้อย่างไม่ยากเย็น เพราะสาว ๆ หลายคนสะดุดตาชายหนุ่มจากทรงผมในสเป็กอีกด้วย โดยสาว ๆ กว่า 50%นั้นชื่นชอบทรงผมที่ดกดีมีสไตล์ดูแล้วทันสมัย ตามเทรนด์อยู่ตลอดเวลา เพราะจะบ่งบอกได้ว่าเข้าเป็นคนทันสมัย ตามแฟชั่น และน่าสนใจ ส่วนหนุ่มผมยาวนั้นก็ฮอตไม่แพ้กัน เพราะสาวสวย 33%นั้นเทคะแนนให้เป็นพิเศษสำหรับผู้ชายผมยาว ด้วยเหตุผลที่ว่าผู้ชายผมยาวนั้นดูเป็นตัวของตัวเองดี มีอิสระ และน่าค้นหา ในขณะที่ผมทรงสกินเฮดนั้นก็ติดอันดับความนิยมในสายตาสาวๆ เช่นกันเพราะผู้ชายที่ตัดผมทรงนี้นั้นจะดูเท่ และแสดงถึงความมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมาก แต่ไม่ว่าจะเป็นผมสั้นหรือยาว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สาว ๆ มีความเห็นตรงกันนั้นก็คือ เรื่องของสุขภาพเส้นผม โดยผลสำรวจของสาว ๆ ถึง 67% นั้นบอกว่า ผู้ชายที่มีผมสวย สุขภาพดี จะดูสะดุดตา และมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษโดยเฉพาะผู้ชายผมนิ่มๆ เป็นธรรมชาตินั้น จะให้ความรู้สึกอ่อนโยนและน่าสัมผัสเวลาอยู่ใกล้ ๆ ดังนั้นสุขภาพเส้นผมของชายหนุ่มแต่ละคนจะบ่งบอกได้ว่าเขาเป็นคนที่ดูแลเอาใจใส่ตัวเองแค่ไหน บ่งบอกบุคลิกผ่านเส้นผม (ไทยโพสต์) เพราะ "เส้นผม" สามารถบ่งบอกได้ถึงบุคลิกภาพ อุปนิสัยใจคอ และความพิถีพิถันของผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดี เช่น สาวผมยาว มัน เงาและดำขลับ ดูมีน้ำหนัก ก็อาจเป็นสาวผู้รักการบำรุง ไม่ชอบเปลี่ยนแปลง ไม่ตามแฟชั่น แต่อย่างสาวอินเทรนด์ยุคใหม่ คงหนีไม่พ้นการย้อม ดัด กัดสี เป่า อบ ยืด มาสารพัด จนเกิดปัญหาแห้ง แตกปลาย ขาดน้ำหนัก หรือลุกลามถึงขั้นเสียได้ง่าย ๆ ฉะนั้น การดูแลเส้นผมให้ดึงดูดต่อผู้พบเห็น จึงเป็นการเสริมบุคลิกภาพที่สำคัญที่สาว ๆ มองข้ามมิได้ และวันนี้เราก็ได้ "อาวียองซ์ อะคาเดมี" มาบอกกล่าวถึงวิธีการดูแลเส้นผมแบบง่าย ๆ ทั้งจากภายในและภายนอก ให้สาว ๆ ไว้ไปดูแลสุขภาพผมให้แข็งแรง เป็นประกายเงางาม ไม่ว่าจะทำผมทรงไหนก็ตาม ดูแลเส้นผมเริ่มตั้งแต่ภายนอก การดูแลประจำวัน ควรเลือกแชมพูและครีมนวดผมให้เหมาะกับสภาพเส้นผมและหนังศีรษะ ซึ่งถือเป็นการดูแลขั้นพื้นฐานประจำวันอย่างถูกวิธี ควรสระผมวันเว้นวันด้วยน้ำอุ่นมิใช่น้ำร้อน เพราะจะทำลายความชุ่มชื่นของหนังศีรษะ ขณะสระผมใช้ปลายนิ้วนวดหนังศีรษะเบา ๆ อย่าใช้เล็บเกาหนังศีรษะ จะทำให้เกิดอักเสบและผมร่วงง่าย หากสระผมเวลากลางคืนก็ควรเป่าผมให้แห้งก่อนนอน เพื่อป้องกันความอับชื้นบนหนังศีรษะและปลอกหมอน ซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้ การดูแลระหว่างสัปดาห์ แม้เส้นผมจะไม่ได้มีปัญหาอะไรก็ควรใช้ครีมหมักผมหรือทำทรีตเมนต์บำรุงพิเศษ สัปดาห์ละครั้ง หากผมแห้งจนแตกปลาย ควรใช้กรรไกรเล็มปลายผมที่แตกออก และใช้ครีมนวดผมที่มีคุณภาพเป็นประจำ ควรหมักผมด้วยครีม หรือโคลนหมักผม สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง และลดการทำร้ายผมบ่อย ๆ โดยหลีกเลี่ยงการดัดหรือกัดสีผมบ่อยจนเกินไป หากต้องการทำควรเลือกช่างผมที่ชำนาญ หลีกเลี่ยงการรัดหรือเกล้าผมแน่นจนเกินไป หลีกเลี่ยงการเป่าผมด้วยความร้อนมากจนเกินไป โดยควรเป่าให้เคลื่อนไหวไปทั่วศีรษะ ไม่จ่อเป่าให้แห้งทีละจุด เพราะจะเป็นอันตรายต่อเส้นผมและหนังศีรษะ หรือเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ปกป้องความร้อนทำร้ายเส้นผมที่ช่วยเคลือบเส้นผมขณะเป่าหรืออบผม การดูแลเส้นผมจากภายใน ใส่ใจรับประทานอาหารที่มีคุณค่าให้ครบทุกหมู่ อาจไม่เห็นผลในระยะสั้น แต่เป็นการดูแลในระยะยาว เพราะสารอาหารมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างเส้นผมให้แข็งแรงตั้งแต่รากจรด ปลาย เช่น อาหารประเภทปลา, เนื้อสัตว์, ผัก, ผลไม้ ถั่ว เมล็ดธัญพืช ไข่ และผลิตภัณฑ์จากนม มีโปรตีนและวิตามิน กรดอะมิโนในโปรตีน เช่น ซิสเตอีนและเม็ทไทโอนีน ซึ่งเป็นส่วนประกอบของกำมะถันที่จะทำให้เซลล์เส้นผมเชื่อมติดกันแน่น, อาหารพวกถั่ว, ไข่แดง, ข้าวซ้อมมือ, ถั่วเหลืองและข้าวสาลี มีไบโอติน ที่ทำให้รากผมแข็งแรงและเป็นเงางาม อาหารที่มีธาตุเหล็ก ซึ่งมีความสำคัญในการรักษาสีผม และยังช่วยสร้างฮีโมโกลบินซึ่งเป็นตัวนำออกซิเจน ทำให้โครงสร้างของเส้นผมแข็งแรงอีกด้วย พบมากในอาหารจำพวก ข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี เนื้อสัตว์ ถั่วต่าง ๆ และผักสีเขียว ผักโขม อาหารที่มีกรดแพนโทเทนิค มีส่วนช่วยให้เส้นผมเจริญงอกงาม มีความชุ่มชื้นและรักษาเส้นผมให้นุ่มสลวยเป็นธรรมชาติ พบมากในผักเกือบทุกชนิด, เนื้อสัตว์, เครื่องในสัตว์, ปลา, ไข่แดง, ผักสีเขียวและธัญพืช เป็นต้น - ผิวพรรณดีมีผลต่อบุคลิกภาพ สำหรับผู้ที่ดูแลตนเองตามวิถีธรรมชาติ รักษ์โลก รักธรรมชาติ รักผิวพรรณ ร่างกายผลิตน้ำมันหล่อผิวหนังให้ชุ่มชื่น แต่ในสภาพอากาศแห้งเช่นฤดูหนาว ต้องหาตัวช่วยรักษาผิวพรรณของเรา ด้วยน้ำมันจากธรรมชาติ ซึ่งได้รับการยอมรับจากผู้ใช้ว่า ช่วยบำรุงรักษาและถนอมความชุ่มชื้นของผิวพรรรณไว้ได้เป็นอย่างดี เราใช้น้ำมันเมล็ดองุ่น (Grapeseeds Oil) น้ำมันอัลมอนด์ (Almond Oil) และ น้ำมันโจโจ้บา (Jojoba OIl) ช่วยถนอมผิวสุขาภาพดีให้ดูบุคลิกดีไว้กับคุณ(ที่มาhttp://pnskinoil.com/) มอยส์เจอไรเซอร์ ผิวสดชื่นชุ่มชื้นประดุจดังหยาดน้ำค้าง ปฏิเสธไม่ได้อีกแล้วว่าผิวไม่ต้องดูแลอย่างถูกวิธี เราพบว่ามี 2 สาเหตุหลักที่ผิวได้รับผลกระทบจากผลิตภัณฑ์บำรุงผิว 1. ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวนั้นกลับเป็นตัวการผ่องถ่ายน้ำมันออกไปจากผิวของเรา ทิ้งภาระให้ผิวของเราต้องทำงานหนักขึ้น โดยพยายามซ่อมแซมตัวเองด้วยการเร่งผลิตน้ำมันออกมาทนแทน เมื่อน้ำมันที่ถูกนำออกไป ความแห้งจึงตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะในทุกครั้งที่ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เราใช้กลับผ่องถ่ายน้ำมันออกไป จึงเกิดเป็นวัฏจักรหมุนเวียนอยู่ตลอด 2. ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ยังใช้กลิ่นหอมรุนแรง หัวน้ำหอมเป็นหนึ่งในตัวการที่ทำให้ผิวระคายเคือง เป็นที่น่าแปลกใจว่ามีการใช้คำว่า ไม่มีกลิ่น (unscented) แต่ในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เหล่านั้นส่วนใหญ่ ก็ยังคงมีหัวน้ำหอม ผู้ใช้ต้องดูด้วยตัวเองด้วยการตรวจที่ป้ายฉลากสินค้า นี่คืออีกสาเหตุหนึ่งซึ่งเป็นที่มาของอาการแห้งของผิวและทำให้เกิดผิวระคายเคือง เจาะลึกรายละเอียดลงไปในพื้นฐานสำหรับการทำความสะอาดและให้ความชุ่มชื้นผิว ต้องระลึกไว้เสมอว่า หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่น้ำมันจะถูกชำระล้างออกไป ผิวมีน้ำมันหล่อลื่นตามธรรมชาติในตัวอยู่แล้ว และขณะที่เราสร้างสรรค์แต่งเติม มีสิ่งหนึ่งที่สามารถเชื่อได้ว่า หากไม่เหมาะสมกับการบำรุงดูแลผิวของเรา ร่างกายของเราจะปรับตัวให้เข้าสู่สมดุลเสมอควรทำอย่างไรเพื่อดูแลผิวให้สุขภาพดีเสมอ 1. มองหามอยส์เจอไรซิ่งออยล์ ได้แก่ น้ำมันมะกอก, น้ำมันโจโจ้บา และน้ำมันอัลมอนด์ เหล่านี้เป็นสิ่งดีที่สุด ไม่ทำให้รูขุมขนอุดตัน 2. ถ้าเป็นคนผิวมัน ให้ผสมมอยส์เจอไรซิ่งออยล์ โดยใช้น้ำมันละหุ่ง (castor oil) น้ำมันละหุ่งจะช่วยดูดซับความไม่สะอาดต่าง ๆ จากผิว สำหรับคนที่มีผิวที่เป็นสิวได้ง่าย ให้ใช้น้ำมันละหุ่ง 3 ส่วนผสมกับน้ำมันมะกอก 1 ส่วน ถ้าเป็นคนผิวแห้ง ให้ใช้น้ำมันละหุ่ง 1 ส่วนผสมกับน้ำมันมะกอก 3 ส่วน บางคนก็ชอบที่จะใช้เพียงน้ำมันมะกอก ในขณะที่หลาย ๆ คนชอบทีจะผสมด้วยน้ำมันละหุ่ง 3. นวดน้ำมันให้กับผิวแห้ง คุณจะรู้สึกผ่อนคลายเป็นที่สุด 4. ชุบผ้าขนหนูสะอาดด้วยน้ำอุ่น วางผ้าลงบนใบหน้าแล้วปล่อยให้มันอุ่นใบหน้าประมาณ 10 วินาที แล้วชุบผ้าขนหนูด้วยน้ำที่อุ่นมากขึ้นกว่าเดิม นำมาเช็ดเบา ๆ เพื่อซับน้ำมันออกไป 5. อวดโฉมผิวสดชื่น พร้อมใบหน้าสะอาดใส (ที่มาhttp://pnskinoil.com/) ดวงตาคือจุดเด่นของใบหน้า อวัยวะเป็นส่วนประกอบของใบหน้าที่จะกล่าวถึง คือ ตา (Eyes) ตาสวยงามนั้นเปรียบประหนึ่งตาเนื้อทราย มีตาเป็นประกายแวววาว เป็นสีนิล แลดูสดใสฉายประกายความตื่นตัว มีน้ำหล่อเลี้ยงตลอดเวลา (ตาไม่แห้ง) ชวนมอง ตาเป็นอวัยวะที่สำคัญที่ควรถนอมไว้ให้ดี การนอนไม่พอทำให้ตาร่วงโรย ลักษระของตาที่นิยม คือ ตากลม โต สดใส่ มีความสมดุลกับคิ้ว ขนตายาวงอน เปลือกตาบน 2 ชั้น ถ้าตาเหล่ ตาเข ตาส่อน ตาบอด ตาใส ถือว่าตามีปัญหา เนิ่องจากเป็นอวัยวะสำคัญบนใบหน้าที่เปรียบเสมือนแสงประทีบส่องทางให้เราเห็นทางเดิน วัตถุสิ่งของ สีสัน ความสวยงามของพื้นพิภพ ถ้าตามีปัญหารายแรง เช่น ตาบอดท่ากับอยู่ในโลกมืดไม่มีโอกาสรับรู้เรื่องราวทางการมองเห็นได้เลย อนึ่งตายังสามารถถ่ายทอดความรุ้สึกนึกคิดต่อสิ่งที่พบห็นไปยังคู่สนทนาหรือผู้อยู่ใกล้ชิดได้อีก ดังคำกลอนว่า หากความคิด งามงดตาสดใส่ ถ้าคิดชั่วตาก็บอก ออกความนัย คิดอย่างไรใจก็บอก ออกทางตา น.พ. กิตติวัฒน์ เหรียญกิตติวัฒน์ ได้เขียนลงในหนังสือพิมพ์มติชน ว่า เด็กแรกเกิดเกือบทั้งหมด จะมีสายตายาวเล็กน้อยแล้วจะค่อย ๆ ลดลงเป็นปกติเมื่ออายุประมาณ 10-15 ปี จากนั้นจะค่อนข้างคงที่จนกระทั่งอายุประมาณ 40 ปี จะเกิดการเปลี่ยนแปลงสายตา เรียกว่าสายตายาวในผู้สูงอายุ (PRESBYOPIA) คือ มองใกล้ ๆ ไม่ชัด แต่มองไกลเหมือนเดิม และจะเป้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุ จนในที่สุดมองใกล้ไม่ได้ มองไกลก็ไม่ชัดและมีโอกาสเป็นต้อกระจก เมื่ออายุยิ่งมากขึ้น ฉะนั้น คนวัย 40 -60 ปี จึงต้องสวมแว่นสายตาเพื่อปรับให้สายตาใช้การได้ หลังอายุ 60 ปี สายตากลับมาเป็นปกติได้อีก (Second Sight) สายตาปกติ (Emmetropia) คือ ความสามารถของสายตา ที่ทำให้แสงจากภาพระยะไกลมารวมกัน (Focus) บนจอประสาทตา (Retina) พอใจ การที่ทารกมีสายตายาว และลดลงเป็นปกติเมื่ออายุ 10-15 ปี เพราะเด็กแรกเกิดมีขนาดของสายตาเล็ก แต่จะโตขึ้นมาเรื่อย ๆ ขนาดเท่าผู้ใหญ่ เมื่ออายุประมาณ 10-15 ปี จากนั้นจะไม่ค่อยเปลียนแปลงอีก สายตายาวในเด็กมักจะมองเห็นได้ดี ไม่มีอาการผิดปกติ เนื่องจากตาเด็กสามารถปรับแก้ไขสายตายาวได้เรียกว่าAccomodation นอกจากรายที่สายตายาวมาก ๆ ที่ปรับตัวไม่ได้จะมีอาการตามัว หรือตาเหล่เกิดขึ้นประมาณ 30 % ของประชากรทั่วไป แทนที่สายตากลับมาเป็นปกติเมื่ออายุ 10 ปีล็กน้อย จะสั้นมากขึ้นในช่วงอายุ 10-20 ปี หลังอายุ 20-25 ปี สายตาจะหยุดสั้น และค่อนข้างคงที่ จนกระทั่งอายุประมาณ 40 ปี จะเกิดสายตาผู้สูงอายุ(Prebyopia) แต่มองไกลได้เหมือนเดิมเกิดจาก ความสามารถของตาที่ปรับระยะใกล้ไม่ชัด เสื่อมลง(Accomodation Lost) เริ่มมีอายุ 40 ปี และเสื่อมลงเรื่อย ๆ จนอายุ 60 ปี จึงต้องเพิ่มเบอร์เลนส์ให้ช่วยมองเห็นระยะใกล้ตามอายุที่เพิ่มขึ้น การระวังรักษาสายตา ตาเป็นอวัยวะที่ใช้สำหรับดู อีกทั้งยังมีความสวยงามแตกต่างกันตามชาติพันธุ์ ความผิดปกติของสายตา เกิดจากสาเหตุ 3 ประการ 1. สายตาสั้น (Myopia) คือ ความสามารถของสายตา ที่ทำให้แสงจากภาพระยะไกลมารวมกัน(Focus) ด้านหน้า ต่อจอประสาทตา (Retina) 2. สายตายาว (Hyperopia) คือ ความสามารถของตาที่ทำให้แสงจากภาพระยะไกลมารวมกัน(Focus) ด้านหลังจอประสาทตา (Retina) 3. สายตาเอียง (Astigmatism) คือ สายตาในแนวตั้งและในแนวนอนไม่เท่ากัน ทำให้แสงจากภาพไปร่วมตัวกัน(Focus) ไม่เป็นจุดเดียวกันบนจอประสาทตา (Retina) (ที่มา http://www.oknation.net/blog/print.php?id=150822)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น